คำสั่งคำร้องที่ 919/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานฉ้อโกงดังฟ้องโจทก์หรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ยกข้อเท็จจริงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำอย่างไรเพื่อศาลจะได้นำไปวินิจฉัยข้อกฎหมาย นอกจากนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดนั้นเป็นการคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวน หากในฎีกาจำเลยที่ 1ยกแต่ข้อกฎหมายศาลฎีกาก็จะไม่เห็นข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาไม่ถูกต้อง โปรดสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 และมาตรา 343 จำคุก 4 ปี คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 86)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 88)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า มิได้กระทำผิดและโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง

Share