คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3133/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องกล่าวในคำร้องว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจาก ช.แต่นำสืบว่า จ. มารดาผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจาก ช. แล้วผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทต่อจาก จ. อีกทีหนึ่ง เป็นการนำสืบถึงที่มาของที่ดินพิพาทและการได้ที่ดินพิพาทมา ไม่ถือว่าทางนำสืบต่างกับคำร้องถึงขนาดเป็นเหตุให้รับฟังไม่ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า นายทัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 607 เนื้อที่ 3 งาน 20 ตารางวา นายชุ่ม อำแดงแช่มสามีภริยากัน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 321 เนื้อที่3 ไร่ 28 ตารางวา ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ที่อำเภอหนองขาหย่าง (อำเภอหนองพรวงเดิม)จังหวัดอุทัยธานี เมื่อประมาณ17 ปีมานี้ บุคคลทั้งสามได้ขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องโดยมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 607 และเลขที่ 321 ให้ผู้ร้องยึดถือไว้ ผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกิน 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 607และโฉนดเลขที่ 321 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 321 ตามคำร้องเป็นของนางกาหรี่ จาริก และเป็นมรดกของนางกาหรี่ ไม่ใช่เป็นของผู้ร้อง ผู้คัดค้านเป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนางกาหรี่ตามพินัยกรรมได้ครอบครองที่ดินมรดกดังกล่าวตลอดมาโดยไม่ได้จัดการแบ่งให้แก่ทายาท ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 607 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382และพิพากษาว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 321 นั้น ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำขอเกี่ยวกับที่แปลงนี้ให้ยก ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 321 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 321 มีชื่อนายชุ่ม อำแดงแช่ม เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ปัญหามีว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของผู้ร้องนางจีบ กอบสาริกรณ์ มารดาผู้ร้องและนางสมศรี ขำศรี พี่ของผู้ร้องพยานผู้ร้องใจความส่วนใหญ่ตรงกันยืนยันว่า นางจีบได้ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายชุ่ม อำแดงแช่มเมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว ในราคา 3 ชั่ง ได้มอบโฉนดที่ดินและการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่กัน นางจีบได้ขายที่ดินพิพาทต่อให้แก่ผู้ร้องเมื่อประมาณ 17 ปีมาแล้ว และผู้ร้องให้นางสมศรีปลูกบ้านเรือนอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนปัจจุบัน ซึ่งผู้คัดค้านก็นำสืบรับกันว่ามีบ้านของนางสมศรีปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทแต่เพียงหลังเดียวเท่านั้น ส่วนที่ผู้คัดค้านนำสืบว่านางกาหรี่มารดาของผู้คัดค้านให้นางสมศรีปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทนั้น เมื่อนางสมศรีเบิกความว่า ผู้ร้องให้นางสมศรีปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท ทั้งนางเรียบ เพ็ญพิมพ์นากป้าของผู้คัดค้านพยานผู้คัดค้านซึ่งมีที่ดินอยู่ทางทิศตะวันตกห่างที่ดินพิพาทเพียงประมาณ 1 เส้น ก็ยังเบิกความว่านางสมศรีปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยขออนุญาตใครไม่ทราบ จึงฟังไม่ได้ว่านางกาหรี่ให้นางสมศรีปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทที่นายหริก จีนเขตรกิจ สามีคนที่ 2 ของนางกาหรี่ และนางเรียบพยานผู้คัดค้านเบิกความว่า นางกาหรี่ซื้อที่ดินพิพาทจากนายชุ่มอำแดงแช่ม เมื่อประมาณ 30 ปีมานี้ ในราคา 40 บาทนั้น ปรากฏว่าขัดกับคำของนายปลิว สวรรคทัต ลูกพี่ลูกน้องของผู้คัดค้านพยานผู้คัดค้านที่เบิกความว่า นางกาหรี่ซื้อที่ดินพิพาทจากนายอิ๊บบิดาของนายปลิว หาได้ซื้อจากนายชุ่ม อำแดงแช่มดังคำเบิกความของนายหริกและนางเรียบไม่ ทั้งนายหริกยังเบิกความด้วยว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางกาหรี่กับนายชุ่มอำแดงแช่ม ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือและไม่มีการส่งมอบโฉนดกันซึ่งเป็นการผิดวิสัยที่วิญญูชนผู้ซื้อขายที่ดินมีโฉนดจะพึงปฏิบัติกัน จึงฟังไม่ได้ว่านางกาหรี่ซื้อที่ดินพิพาทจากนายชุ่ม อำแดงแช่ม และให้นางสมศรีปลูกบ้านอยู่อาศัยพยานผู้ร้องที่นำสืบมีน้ำหนักรับฟังได้มากกว่าพยานผู้คัดค้าน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจากนางจีบแล้วผู้ร้องให้นางสมศรีปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาประมาณ 17 ปีซึ่งมีผลเท่ากับผู้ร้องให้นางสมศรีครอบครองที่ดินพิพาทแทนโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาจนปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การที่ผู้ร้องกล่าวในคำร้องว่าผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจากนายชุ่ม อำแดงแช่ม แต่นำสืบว่านางจีบมารดาผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจากนายชุ่ม อำแดงแช่มแล้วผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทต่อจากนางจีบอีกทีหนึ่งนั้น เป็นการนำสืบถึงที่มาของที่ดินพิพาทและการได้ที่ดินพิพาทมา จึงไม่ขัดกันเองอันจะเป็นเหตุให้รับฟังไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share