คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7057/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลแรงงานมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วกำหนดวันเวลานัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ โดยออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลในวันเวลานัด พร้อมกับส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยวิธี ปิดหมาย ณ บ้านเลขที่ 106/33 อันเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 37 เมื่อจำเลยยอมรับในคำร้องว่าบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่ในหนังสือจดทะเบียนของจำเลยจึงเป็นที่ตั้งสำนักงานอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 68,1111 แม้จำเลย จะมีที่ทำการอยู่ที่บ้านเลขที่ 33 ก็เป็นกรณีจำเลยมีภูมิลำเนาหลายแห่งการส่งหมายเรียกให้จำเลยโดยการปิดหมาย ณ บ้านเลขที่ 106/33 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74 ประกอบ มาตรา 79 ต้องถือว่าจำเลยได้รับหมายเรียกให้มาศาลตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 37 แล้ว เมื่อจำเลยไม่มาตามกำหนดโดยไม่แจ้งให้ศาลแรงงานทราบเหตุที่ไม่มาและศาลแรงงานได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและพิจารณาตัดสินคดีของ โจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 40 จำเลยขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวจึงต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 41 คือต้องดำเนินการภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลแรงงานมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัด แต่จำเลยยื่นคำร้องพ้นกำหนด กรณีจึงต้องยกคำร้อง

ย่อยาว

คดีทั้งเก้าสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยเรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 9

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งเก้าฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายและค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยศาลแรงงานกลางกำหนดวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์วันที่ 10 สิงหาคม 2542 เวลา 14 นาฬิกา โดยออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลในวันเวลาดังกล่าวส่งให้จำเลยพร้อมสำเนาคำฟ้องโดยวิธีปิดหมายณ บ้านเลขที่ 106/33 ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ตามที่โจทก์ทั้งเก้าระบุไว้ในคำฟ้องว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ครั้นถึงวันเวลานัดปรากฏว่าจำเลยไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลแรงงานกลางจึงมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและขาดนัดพิจารณาแล้วพิจารณาคดีของโจทก์ทั้งเก้าไปฝ่ายเดียวและพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายและค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งเก้าตามคำฟ้อง

วันที่ 16 พฤษภาคม 2543 จำเลยยื่นคำร้องว่า บ้านเลขที่ 106/33ที่ศาลแรงงานกลางส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยวิธีปิดหมายนั้นเป็นเพียงที่อยู่ในหนังสือจดทะเบียนของจำเลย ไม่ใช่ถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือถิ่นอันเป็นที่ตั้งที่ทำการของจำเลย ที่ทำการหรือที่อยู่ที่แท้จริงของจำเลยตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 33 อาคารดอกเตอร์เจอร์ฮาร์ดลิงค์ชั้น 14 ซอยเลิศนาวา ถนนกรุงเทพกรีฑา แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสถานที่ที่โจทก์ที่ 1 ทำงานอยู่กับจำเลยและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลย การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กระบวนพิจารณาที่ได้ดำเนินต่อมาหลังจากนั้น จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ หากได้มีการพิจารณาคดีใหม่ โจทก์ที่ 1 จะไม่ได้รับค่าชดเชยเพราะโจทก์ที่ 1 ลาออกเอง ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบดังกล่าว

ศาลแรงงานกลางสั่งคำร้องของจำเลยว่า ตามคำร้องจำเลยขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบโดยอ้างว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ชอบ และอ้างว่าหากมีการพิจารณาคดีใหม่โจทก์ที่ 1จะไม่ได้รับค่าชดเชย คำร้องฉบับนี้จึงเป็นคำแถลงให้ศาลแรงงานกลางทราบถึงความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลในวันนัดพิจารณาซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจเข้ามาสู้คดีได้ อันเป็นการแถลงเพื่อให้ศาลแรงงานมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดตามมาตรา 40, 41 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ซึ่งต้องแถลงภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งหรือวันที่จำเลยทราบคำสั่งนั้น จำเลยทราบถึงผลแห่งคดีตั้งแต่วันยึดทรัพย์ (วันที่ 7 ตุลาคม 2542) ทั้งได้ยื่นคำแถลงขอถ่ายเอกสารและศาลอนุญาตให้ถ่ายเอกสารวันที่ 28 เมษายน 2543 และวันที่ 1 พฤษภาคม 2543 แต่มิได้แถลงให้ศาลทราบภายใน 7 วัน จึงไม่เป็นไปตามบทกฎหมายดังกล่าว ให้ยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “การพิจารณาคดีแรงงานมีวิธีพิจารณาต่างกับคดีแพ่งทั่ว ๆ ไป โดยมีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 บัญญัติไว้เป็นพิเศษ กรณีที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ได้บัญญัติไว้แล้วอย่างไรก็ต้องบังคับไปตามนั้นจะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับไม่ได้ เพราะพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานโดยอนุโลมได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 เท่านั้น คดีนี้เมื่อศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ทั้งเก้าไว้พิจารณาแล้ว ศาลแรงงานกลางได้กำหนดวันเวลานัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์โดยออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลในวันเวลานัดพร้อมกับส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยวิธีปิดหมาย ณ บ้านเลขที่ 106/33ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร อันเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 37 เมื่อจำเลยยอมรับในคำร้องว่าบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่ในหนังสือจดทะเบียนของจำเลยจึงเป็นที่ตั้งสำนักงานอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 68, 1111 แม้จำเลยจะมีที่ทำการอยู่ที่บ้านเลขที่ 33 อาคารดอกเตอร์เจอร์ฮาร์ดลิงค์ ชั้น 14 ก็เป็นกรณีจำเลยมีภูมิลำเนาหลายแห่งการส่งหมายเรียกให้จำเลยโดยการปิดหมาย ณ บ้านเลขที่ 106/33 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74 ประกอบมาตรา 79 จึงต้องถือว่าจำเลยได้รับหมายเรียกให้มาศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 37 แล้ว เมื่อจำเลยไม่มาตามกำหนด โดยไม่แจ้งให้ศาลแรงงานกลางทราบเหตุที่ไม่มาและศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและพิจารณาตัดสินคดีของโจทก์ทั้งเก้าไปฝ่ายเดียวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 40 จำเลยขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวจึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 41 คือต้องดำเนินการภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัด เมื่อจำเลยยื่นคำร้องพ้นกำหนด กรณีจึงต้องยกคำร้องที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ไต่สวน จึงเป็นการถูกต้องแล้ว”

พิพากษายืน

Share