แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่าผู้ร้องเป็นหนี้ลูกหนี้แต่ผู้ร้องปฏิเสธหนี้ ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วมีคำสั่งให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสอง การที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ยื่นคำร้องว่าตนได้รับความเสียหายจากคำสั่งของผู้คัดค้านดังกล่าวขอให้ศาลมีคำสั่งกลับความเห็นของผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 146 ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้ร้องยังคงเป็นหนี้ลูกหนี้อยู่ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งที่วินิจฉัยว่าคำสั่งของผู้คัดค้านไม่ถูกต้องมีผลเท่ากับผู้คัดค้านมีความเห็นว่าผู้ร้องเป็นหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสอง ผู้คัดค้านจึงต้องปฏิบัติตามโดยต้องแจ้งจำนวนหนี้ยืนยันให้ผู้ร้องทราบ และต้องแจ้งไปด้วยว่า ถ้าจะคัดค้านให้ร้องคัดค้านต่อศาลภายใน 14 วัน เมื่อผู้ร้องมายื่นคำร้องคัดค้านตามมาตรา 119 วรรคสาม ผู้ร้องย่อมสามารถนำพยานหลักฐานเข้าสืบว่ามิได้เป็นหนี้ได้อีกทั้งในการพิจารณาคดีที่ขอให้แก้คำสั่งของผู้คัดค้านนี้ ผู้ร้องไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความคำสั่งของศาลชั้นต้นในครั้งแรกดังกล่าวจึงไม่ผูกพันผู้ร้องให้ต้องปฏิบัติตาม
ผู้ร้องรับเงิน 38,000,000 บาท ไปจากลูกหนี้ เพื่อดำเนินการซื้อที่ดินให้แก่โครงการพัฒนาที่ดินและก่อสร้างบ้านพัก แต่ต่อมาภายหลังไม่ได้มีการดำเนินการตามโครงการนี้ ผู้ร้องจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้ลูกหนี้และในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ผู้ร้องนำเช็ค ลงวันที่ 15มีนาคม 2528 และวันที่ 16 เมษายน 2528 ของลูกหนี้ไปเรียกเก็บเงินได้แล้วอายุความที่ลูกหนี้จะเรียกเงินคืนเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป อายุความ 10 ปีจึงครบกำหนดวันที่ 15 มีนาคม 2538 และวันที่ 16 เมษายน 2538 ตามลำดับ
ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งความเป็นหนังสือไปยังผู้ร้องให้ชำระเงินคืนแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคหนึ่ง เป็นการบังคับตามสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ซึ่งผู้คัดค้านมีอำนาจกระทำได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล ถือได้ว่าเป็นการกระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(5) แล้ว มิใช่ว่าต้องรอให้มีการออกหนังสือยืนยันหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสอง เสียก่อน เมื่อผู้คัดค้านมีหนังสือทวงถามให้ผู้ร้องชำระเงินและผู้ร้องได้รับแล้วยังไม่เกิน 10 ปี คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ
ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เคยมีความเห็นว่า ผู้ร้องไม่ได้เป็นหนี้และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีแล้ว แต่คำสั่งของผู้คัดค้านยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของผู้คัดค้านและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านโดยวินิจฉัยว่าผู้ร้องยังคงเป็นหนี้อยู่อันมีผลให้ผู้คัดค้านต้องมีหนังสือแจ้งจำนวนหนี้ยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสอง อายุความจึงยังคงสะดุดหยุดลงจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17และ 193/18 มาใช้โดยถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลงหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากผู้คัดค้านแจ้งให้สหกรณ์เคหสถานนายเรืออากาศ จำกัด และผู้ร้องทราบว่า ลูกหนี้ (จำเลย) มีสิทธิเรียกร้องให้สหกรณ์ฯและผู้ร้องคืนเงินทดรองจ่ายค่ามัดจำที่ดิน 63,000,000 บาท จึงให้สหกรณ์ฯและผู้ร้องนำเงินจำนวนดังกล่าวชำระแก่ผู้คัดค้านพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 25,000,000 บาท นับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2528 และในต้นเงิน13,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 เมษายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแต่สหกรณ์ฯ และผู้ร้องปฏิเสธหนี้ ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วเห็นว่า ผู้ร้องมิได้รับเงินแทนสหกรณ์ฯ ผู้ร้องรับเงินจากลูกหนี้ 25,000,000 บาท และรับจากนางพอใจช. เจริญยิ่ง 38,000,000 บาท แต่ผู้ร้องได้คืนเงินดังกล่าวแก่ลูกหนี้ แล้วผู้คัดค้านจึงมีคำสั่งจำหน่ายชื่อสหกรณ์เคหสถานนายเรืออากาศ จำกัด และผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ นางสุวรรณา จรรยาชัยเลิศ เจ้าหนี้รายที่ 33 และลูกหนี้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งกลับความเห็นของผู้คัดค้านและให้สหกรณ์เคหสถานนายเรืออากาศ จำกัด กับผู้ร้อง ชำระเงิน 63,000,000 บาท ตามหนังสือทวงถามของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2538แก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้าน โดยให้ผู้ร้องชดใช้เงิน 38,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 25,000,000 บาท นับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2528และในต้นเงิน 13,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 เมษายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ คดีถึงที่สุด หลังจากนั้น ผู้คัดค้านมีหนังสือยืนยันให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวนดังกล่าว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องไม่เคยเป็นหนี้ลูกหนี้และไม่เคยได้รับเช็คจากลูกหนี้แต่ได้รับเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาปากเกร็ด ลงวันที่ 15 มีนาคม 2528สั่งจ่ายเงิน 25,000,000 บาท และเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาถนนจันทร์ลงวันที่ 16 เมษายน 2528 สั่งจ่ายเงิน 13,000,000 บาท ซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือจากนางพอใจ ช. เจริญยิ่ง และผู้ร้องได้คืนเงินให้นางพอใจแล้วผู้ร้องไม่เคยได้รับเงินทดรองจ่ายค่าที่ดินจากผู้ใด สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ในการเรียกเงินทดรองจ่ายคืนมีอายุความ 2 ปี และนับแต่วันที่ลงในเช็คถึงวันที่ผู้คัดค้านเรียกเงินคืนเกิน 10 ปี คดีขาดอายุความแล้ว ขอให้มีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ของลูกหนี้
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า เงิน 38,000,000 บาท ที่ผู้ร้องรับไปเป็นเงินค่ามัดจำที่ดินของลูกหนี้และผู้ร้องยังไม่ได้คืน เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เงินทดรองจ่ายต้องใช้อายุความ 10 ปี และการที่ผู้คัดค้านมีหนังสือทวงหนี้ไปเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2533ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้จึงไม่ขาดอายุความ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ให้ผู้ร้องชำระเงินแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือยืนยันหนี้
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษากลับ ให้ผู้คัดค้านจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 119 วรรคสอง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านประการแรกว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นลงวันที่ 6 ธันวาคม 2538 ที่แก้คำสั่งของผู้คัดค้าน โดยให้ผู้ร้องชดใช้เงิน 38,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ มีผลผูกพันผู้ร้องให้ต้องปฏิบัติตามหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเนื่องมาจากผู้คัดค้านแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่าผู้ร้องเป็นหนี้ลูกหนี้แต่ผู้ร้องปฏิเสธหนี้ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วมีคำสั่งให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสอง เจ้าหนี้รายที่ 33 และลูกหนี้ ยื่นคำร้องว่าตนได้รับความเสียหายจากคำสั่งของผู้คัดค้านดังกล่าว ขอให้ศาลมีคำสั่งกลับความเห็นของผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 146 ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและอ้างผู้ร้องเป็นพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ร้องยังคงเป็นหนี้ลูกหนี้อยู่และมีคำสั่งของผู้คัดค้านดังกล่าว คำสั่งนี้ จึงเป็นคำสั่งที่วินิจฉัยว่าคำสั่งของผู้คัดค้านไม่ถูกต้อง และมีผลเท่ากับผู้คัดค้านมีความเห็นว่าผู้ร้องเป็นหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสอง ผู้คัดค้านต้องปฏิบัติตาม คือต้องแจ้งจำนวนหนี้ยืนยันให้ผู้ร้องทราบ และต้องแจ้งไปด้วยว่า ถ้าจะคัดค้านต่อศาลภายใน 14 วัน ซึ่งผู้คัดค้านได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบแล้ว ผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องคัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสาม เป็นคดีนี้ มาตราดังกล่าวบัญญัติให้ศาลพิจารณาจนเป็นที่พอใจว่าผู้ร้องเป็นหนี้หรือไม่ การที่ศาลจะพิจารณาจนเป็นที่พอใจได้นั้น ผู้ร้องสามารถนำพยานหลักฐานเข้าสืบว่ามิได้เป็นหนี้ได้ อีกทั้งในการพิจารณาคดีที่ขอให้แก้คำสั่งของผู้คัดค้านนี้ ผู้ร้องไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ผูกพันผู้ร้องให้ต้องปฏิบัติตาม
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านต่อไปมีว่าผู้ร้องเป็นหนี้ลูกหนี้ หรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดสาขาปากเกร็ดลงวันที่ 15 มีนาคม 2528 สั่งจ่ายเงิน 25,000,000 บาท และเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาถนนจันทร์ ลงวันที่ 16 เมษายน 2528 สั่งจ่ายเงิน13,000,000 บาท เป็นเช็คผู้ถือและลูกหนี้เป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายและผู้ร้องเป็นผู้รับเงินตามเช็คทั้งสองฉบับไปมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่คู่ความโต้แย้งกันว่าผู้ร้องรับเช็คทั้งสองฉบับไปจากลูกหนี้หรือจากนางพอใจ ช. เจริญยิ่ง และเห็นว่าพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านนำสืบมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าพยานหลักฐานของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่ผู้คัดค้านนำสืบว่าผู้ร้องรับเงิน 38,000,000 บาท ไปจากลูกหนี้ เพื่อดำเนินการซื้อที่ดินให้แก่โครงการพัฒนาที่ดินและก่อสร้างบ้านพักของสหกรณ์เคหสถานนายเรืออากาศ จำกัด แต่ต่อมาภายหลังไม่ได้มีการดำเนินการตามโครงการนี้ ผู้ร้องจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้ลูกหนี้
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามคำแก้ฎีกาของผู้ร้องว่า คดีขาดอายุความหรือไม่เห็นว่า อายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(16)นั้น ต้องเป็นเงินทดรองจ่ายที่ทนายความหรือผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย รวมทั้งพยานผู้เชี่ยวชาญเรียกเอาค่าการงานที่ทำให้รวมทั้งเงินที่ออกทดรองไป ดังนั้น จะนำเอาอายุความ 2 ปี มาใช้กับคดีนี้ไม่ได้และอายุความในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 เมื่อผู้ร้องนำเช็คลงวันที่ 15 มีนาคม 2528 และวันที่ 16 เมษายน2528 ของลูกหนี้ ไปเรียกเก็บเงินได้แล้วอายุความที่ลูกหนี้ จะเรียกเงินคืนเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป อายุความ 10 ปี จึงครบกำหนดวันที่ 15 มีนาคม 2538 และวันที่ 16 เมษายน 2538 ตามลำดับและผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งความเป็นหนังสือไปยังผู้ร้องให้ชำระเงินคืนแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคหนึ่งนั้น เป็นการบังคับตามสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ซึ่งผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจกระทำได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาลถือได้ว่าเป็นการกระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(5) แล้ว มิใช่ว่าต้องรอให้มีการออกหนังสือยืนยันหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสอง เสียก่อน จึงจะถือว่าเป็นการกระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีดังความเห็นของผู้ร้องเมื่อผู้คัดค้านมีหนังสือทวงถามให้ผู้ร้องชำระเงินฉบับลงวันที่ 26 มีนาคม 2533และผู้ร้องได้รับแล้วยังไม่เกิน 10 ปี คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ
ผู้ร้องเห็นว่า คดีนี้ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีความเห็นว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นหนี้และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีแล้ว ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 และ 193/18 นั้น เห็นว่าคำสั่งของผู้คัดค้านยังไม่ถึงที่สุดเนื่องจากเจ้าหนี้รายที่ 33 และลูกหนี้ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของผู้คัดค้าน และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านโดยวินิจฉัยว่าผู้ร้องยังคงเป็นหนี้อยู่ อันมีผลให้ผู้คัดค้านต้องมีหนังสือแจ้งจำนวนหนี้ยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสอง อายุความจึงยังคงสะดุดหยุดลง จะนำเอามาตรา 193/17 และ 193/18 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้แก่คดีนี้ตามความเห็นของผู้ร้องหาได้ไม่
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น