คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3124/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกล่าวอ้างในคำขอให้พิจารณาใหม่แต่เพียงว่าสัญญากู้เป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่โจทก์จัดให้แก่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ โจทก์ต้องเสนอข้อพิพาทต่อศาลแรงงานกลาง และจำเลยโต้แย้งเกี่ยวกับอำนาจฟ้องและยอดหนี้ที่โจทก์ฟ้อง หากจำเลยมีโอกาสต่อสู้คดี คำพิพากษาคงเปลี่ยนแปลงไป อันเป็นข้ออ้างลอย ๆมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไร ทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว จึงเป็นคำขอที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยจำเลยทั้งสองยื่นคำให้การสู้คดี ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยทั้งสองไม่มาศาลศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาและพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว โดยพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,106,939.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงิน 994,466.10 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 187308 ตำบลบางกระสอ (บางซื่อ) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรีพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท

จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่า คดีนี้เดิมศาลนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 เวลา 13 นาฬิกา แต่วันดังกล่าวมีการสัมมนาผู้พิพากษาทั่วไป ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 ทนายจำเลยทั้งสองจึงมอบฉันทะให้นายสมเกียรติเจริญมหรรชัย เสมียนทนายไปฟังคำสั่งเลื่อนการพิจารณาคดี ศาลเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไปเป็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 เวลา 13 นาฬิกา แต่เสมียนทนายสับสนและเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า ศาลเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไปเป็นวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2542 เวลา 13นาฬิกา และได้แจ้งให้ทนายจำเลยทั้งสองทราบว่าศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 2กุมภาพันธ์ 2542 เวลา 13 นาฬิกา ดังนั้นในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 1 กุมภาพันธ์2542 เวลา 13 นาฬิกา ทนายจำเลยทั้งสองจึงไม่ได้ไปซักค้านพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา จำเลยทั้งสองได้ต่อสู้ว่าสัญญากู้ตามฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่โจทก์จัดให้แก่ลูกจ้าง จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างโจทก์ โจทก์จะต้องเสนอข้อพิพาทต่อศาลแรงงานกลางซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจ และจำเลยทั้งสองโต้แย้งเกี่ยวกับอำนาจฟ้องและยอดหนี้ที่โจทก์ฟ้อง หากจำเลยทั้งสองมีโอกาสต่อสู้คดี คำพิพากษาคงเปลี่ยนแปลงไป ขอให้พิจารณาใหม่

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิจารณาตามคำร้อง จำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา ไม่มีเหตุที่จะพิจารณาคดีใหม่ ยกคำร้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองเข้าเกณฑ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายครบถ้วนหรือไม่เห็นว่า จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างในคำขอให้พิจารณาใหม่แต่เพียงว่าสัญญากู้เป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่โจทก์จัดให้แก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ โจทก์ต้องเสนอข้อพิพาทต่อศาลแรงงานกลาง และจำเลยทั้งสองโต้แย้งเกี่ยวกับอำนาจฟ้องและยอดหนี้ที่โจทก์ฟ้อง หากจำเลยทั้งสองมีโอกาสต่อสู้คดี คำพิพากษาคงเปลี่ยนแปลงไป อันเป็นข้ออ้างลอย ๆ มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไรทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว จึงเป็นคำขอที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่ามีเหตุอันสมควรให้มีการพิจารณาใหม่หรือไม่ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยไม่ได้ทำการไต่สวน และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share