คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 โอนสิทธิการเช่าตึก ซึ่งจำเลยที่ 1 นำมาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้กับโจทก์ในศาล และโอนทรัพย์สินอื่นที่โจทก์นำยึดไว้ให้จำเลยที่ 2 ทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รู้เห็นในเรื่องที่จำเลยที่ 1 ได้นำสิทธิการเช่าตึกดังกล่าวไปค้ำประกันการชำระหนี้ไว้กับโจทก์ และการที่จำเลยที่ 2ร้องขัดทรัพย์ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดก็เป็นการใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมาย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงไม่มีมูล.(ที่มา-เนติ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้เช่าตึกแถวเลขที่ 304/22ได้โอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อที่จะไม่ให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ และจำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่จำเลยที่ 2ซึ่งทรัพย์ที่โจทก์ยึดไว้ในคดีแพ่ง เป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ และเพื่อมิให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187, 350,83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187 และมาตรา 350ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นั้นมีมูลหรือไม่
ทางไต่สวนโจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ได้นำเอาสิทธิการเช่าตึกแถวเลขที่ 304/22 แขวงบางซื่อ เขตดุสิต ค้ำประกันเพื่อร่วมรับผิดกับนางเพ็ญศรี คุปตาภรณ์ บุตรสาวจำเลยที่ 1 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกับโจทก์ไว้ ต่อมานางเพ็ญศรีและจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ฟ้องนางเพ็ญศรี และจำเลยที่ 1ให้ชำระหนี้ดังกล่าว ศาลแพ่งพิพากษาให้นางเพ็ญศรีและจำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์ตามสำนวนของศาลแพ่งหมายเลขคดีแดงที่6538/2527 จำเลยที่ 1 ทราบคำพิพากษาแล้วไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาจำเลยที่ 1 ได้โอนสิทธิการเช่าตึกดังกล่าวตลอดทั้งทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์นำยึดไว้แล้วให้จำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์เสียหาย
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 1 ได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถวเลขที่ 304/22 ซึ่งจำเลยที่ 1 นำมาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ไว้ และโอนทรัพย์สินอื่นที่โจทก์นำยึดไว้ให้จำเลยที่ 2 แต่ทางไต่สวนไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รู้เห็นในเรื่องที่จำเลยที่ 1 ได้นำสิทธิการเช่าตึกดังกล่าวไปค้ำประกันการชำระหนี้กับโจทก์ไว้และการร้องขัดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ก็เป็นการใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าฟ้องโจทก์ไม่มีมูลสำหรับจำเลยที่ 2 นั้นชอบแล้ว’
พิพากษายืน.

Share