แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อไม่มีข้อตกลงในสัญญากู้เงินว่า หากผู้กู้ผิดสัญญาผู้ให้กู้ต้อง ฟ้องร้องบังคับเป็นคดีแพ่งสามัญก่อนจึงจะฟ้องให้ล้มละลายได้ เมื่อต้นเงินที่กู้ระบุจำนวนได้ แน่นอนและมีจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ผู้ให้กู้มีอำนาจฟ้องให้ผู้กู้ล้มละลายได้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีมิใช่สัญญากู้ยืมเงิน จึงไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้เบิกเงินเกินบัญชีมาแสดงก็ฟ้องร้องบังคับคดีได้ จำเลยเพียงแต่ อาศัยและช่วย ทำงานอยู่กับบุคคลอื่น โดย ไม่ได้รับเงินเดือนและไม่มีทรัพย์สินอื่นใด อีก ดังนั้น แม้โจทก์ทวงถามหนี้จำเลยเพียงครั้งเดียว และก่อนฟ้องเพียง 13 วัน ก็เพียงไม่เข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเท่านั้น เมื่อมีข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้ จำเลยก็เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกค้าธนาคารโจทก์ สาขาจารุเมืองเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและเดินสะพัดทางบัญชีตลอดมา ถึงวันที่15 พฤษภาคม 2530 (วันฟ้อง) จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 50,135.27 บาทนอกจากนี้จำเลยกู้เงินธนาคารโจทก์ สาขาจารุเมืองอีก 50,000 บาทคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 76,961.37 บาท รวมกับต้นเงินจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ 126,961.37 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้นถึงวันฟ้องเป็นเงิน 177,096.64 บาท จำเลยไม่มีอาชีพและไม่มีรายได้พอชำระหนี้ ทั้งไม่มีทรัพย์สินพอที่จะขายชำระหนี้แก่โจทก์ได้ หนี้สินดังกล่าวถึงกำหนดชำระโดยพลัน มีจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ขอให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยให้การว่า หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ไม่แน่นอน เพราะโจทก์ยังมิได้ฟ้องจำเลยให้เป็นเจ้าหนี้สามัญก่อน จำเลยไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวจำเลยมีอาชีพแน่นอนและมีหลักทรัพย์พอที่จะให้โจทก์บังคับคดีได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2520 จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารโจทก์ สาขาจารุเมือง ตามเอกสารหมาย จ.3, จ.4 และวันที่ 30 มิถุนายน 2520 จำเลยทำสัญญากู้เงินธนาคารโจทก์ สาขาจารุเมือง 50,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.6 โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลย
ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า หนี้ตามสัญญากู้เป็นหนี้ที่ถูกต้องและแน่นอนพอที่จะขอให้จำเลยล้มละลายได้หรือไม่เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งได้ความว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินธนาคารโจทก์ สาขาจารุเมือง โดยมีนางจิตราเอื้อสุนทรวัฒนา เป็นผู้ค้ำประกัน หากจำเลยหรือผู้ค้ำประกันผิดสัญญาไม่มีข้อความในสัญญาหรือกฎหมายใดกำหนดให้โจทก์ตามฟ้องร้องบังคับเป็นคดีแพ่งสามัญก่อนจึงจะฟ้องให้ล้มละลายได้ ฉะนั้นเมื่อหนี้ตามสัญญากู้ เอกสารหมาย จ.6 เฉพาะต้นเงินอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนและมีจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาทแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9 ที่จำเลยฎีกาว่า หากโจทก์ฟ้องจำเลยและผู้ค้ำประกันเป็นคดีแพ่งสามัญแล้วคงจะได้รับชำระหนี้จากจำเลยหรือผู้ค้ำประกันครบถ้วนนั้น ก็เป็นการคาดคะเนของจำเลยเพียงลอย ๆไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
ฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเพราะจำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ คำขเเบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 แผ่นที่ 2 ระบุวงเงินเบิกเกินบัญชี มิใช่สัญญากู้ยืมเงิน แต่เป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่กฎหมายมิได้บัญญัติให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้เบิกเงินเกินบัญชีมาแสดงจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ ฉะนั้น คู่สัญญาจึงอาจตกลงกันด้วยวาจาได้ โจทก์มีนายสุมานิตย์ ศรีสร้อยทองสุก และนายพึ่งพบ ประเสริฐธรรม เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์ สาขาจารุเมืองตามบัญชีเลขที่544 โดยถือเอาบัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัด นอกจากนี้โจทก์มีนายประเสริฐ สุทธิประเสริฐ เป็นพยานเบิกความว่า หากจำเลยขอเบิกเงินในขณะที่ไม่มีเงินในบัญชี และโจทก์ยินยอมจ่ายให้ไปก่อนถือว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยเดินบัญชีของจำเลยตลอดมา เมื่อคิดถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 50,135.27 บาท ตามเอกสารหมาย จ.5เห็ฯว่า พยานโจทก์ทั้งสองทำงานอยู่ในธนาคารโจทก์ย่อมเกี่ยวข้องและรู้เห็นกิจการของธนาคารโจทก์และไม่มีพิรุธว่าจะเบิกความเข้าข้างโจทก์เพื่อปรับปรำจำเลยโดยไม่มีมูลความจริง ตามเอกสารหมาย จ.5เป็นรายการนำเงินเข้าและจ่ายเงินออกตามบัญชีของจำเลย หากจำเลยไม่มีข้อตกลงกับโจทก์ดังที่พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่เจ้าหน้าที่ธนาคารโจทก์จะจ่ายเงินตามคำสั่งของจำเลย ทั้ง ๆ ที่เงินในบัญชีของจำเลยม่ไม่พอจ่าย แม้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 แผ่นที่ 2 จะระบุวงเงินเบิกเกินบัญชีของจำเลยได้เป็นการชั่วคราวในวงเงินเพียง 10,000 บาท ดังที่จำเลยฎีกาก็ตามแต่เมื่อจำเลยมีข้อตกลงกับโจทก์ดังกล่าวแล้ว จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามที่โจทก์ได้จ่ายเงินเกินบัญชีของจำเลยไป
สำหรับดอกเบี้ยตามสัญญากู้และดอกเบี้ยตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์คิดเกินกว่า 5 ปีนั้น เห็นว่า เป็นเรื่องที่จำเลยจะว่ากล่าวแก่โจทก์เมื่อนำหนี้ดังกล่าวไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ในชั้นนี้เมื่อโจทก์นำสืบได้ความจริงว่าเฉพาะต้นเงินตามสัญญากู้และต้นเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ไม่น้อยกว่า 50,000 บาทแล้ว โจทก์ย่อมฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้
ฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยว่า จำเลยไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ยังสามารถชำระหนี้ให้โจทก์ ข้อนี้นายสุมานิตย์พยานโจทก์เบิกความว่าได้ไปสืบหาหลักทรัพย์ของจำเลยแล้วปรากฏว่าจำเลยเพียงแต่อาศัยและช่วยทำงานอยู่ที่ร้าน ก.รุ่งเรือง ไม่ได้รับเงินเดือนและไม่มีทรัพย์สิน แม้จำเลยจะมีหลักฐานมาแสดงว่าจำเลยมีเงินเดือนจากร้าน ก.รุ่งเรื่องเดือนละ 5,000 บาท แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวและของครอบครัวจำเลยประจำเดือนออกแล้ว เชื่อว่าจำเลยคงไม่สามารถที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ทั้งหมดในเวลารวดเร็วได้นอกจากนี้จำเลยเบิกความรับว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอะไร และแม้จะได้ความว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.7ครั้งเดียว และก่อนฟ้อง 13 วัน ก็มีผลเพียงไม่เข้าข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(9) เท่านั้นคำพิพากษษฎีกาที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่สามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.