คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3098/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานความผิดเรื่องยักยอก และขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยักยอกไป ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ผู้เสียหายที่พนักงานอัยการขอมาในคำฟ้องคดีอาญานั้น แม้จะถือว่าเป็นการขอแทนผู้เสียหาย ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ก็ตามแต่ก็เป็นกรณีที่ความเสียหายนั้นเนื่องมาจากการกระทำผิดอาญาเท่านั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ทำให้เกิดความเสียหายนี้อาจเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองทางคือในมูลละเมิดและในมูลแห่งสัญญาจ้างแรงงานที่มีต่อกันอยู่ในคดีอาญาดังกล่าวกับคดีนี้ ถึงแม้คำขอบังคับจะมีลักษณะเป็นอย่างเดียวกัน คือขอให้จำเลยที่ 2ใช้ค่าเสียหาย แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่พนักงานอัยการขอบังคับในส่วนแพ่งนั้น มาจากข้ออ้างเนื่องจากการกระทำผิดทางอาญาอันเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้ละเมิด แต่คดีนี้มีที่มาจากมูลสัญญาจ้างแรงงาน เมื่อมูลหนี้ในคำฟ้องของทั้งสองคดีเป็นคนละอย่างเช่นนี้ ประเด็นที่วินิจฉัยจึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31และคำฟ้องของโจทก์กรณีของการผิดสัญญาจ้างแรงงานนั้นเป็นอำนาจของคู่สัญญาโดยเฉพาะ พนักงานอัยการที่เป็นโจทก์ในคดีอาญาไม่อาจจะอาศัยสิทธิในเรื่องของสัญญาจ้างแรงงานมาเป็นข้ออ้างในคำขอส่วนแพ่งได้ จึงมิใช่เป็นกรณีที่เป็นการฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันในความหมายที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง(1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ไม่เป็นฟ้องซ้อนและคำฟ้องของโจทก์กรณีนี้มิใช่การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 40 จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 46 มาใช้กับการพิจารณาคดีนี้ไม่ได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกกรุงเทพมหานครเป็นโจทก์ เรียกนายไพรัช ลิ้มวรรัตน์ เป็นจำเลยที่ ๑ นายกัมปนาทหรือกมุท บุญญลาภาเลิศ เป็นจำเลยที่ ๒
สำนวนแรก จำเลยที่ ๒ เป็นโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๘ โจทก์จ้างจำเลยที่ ๒ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำครั้งสุดท้ายเป็นผู้จัดการสถานธนานุบาลมีนบุรี ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕,๗๔๕ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนต่อมาวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๓๑ โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ ๒ โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้สถานธนานุบาลมีนบุรีเสียหายอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยที่ ๒ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและปกป้องผลประโยชน์ของโจทก์ตลอดมา การเลิกจ้างของโจทก์เป็นการกลั่นแกล้งจำเลยที่ ๒ เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ทำให้จำเลยที่ ๒ เสียหาย ขอให้บังคับโจทก์รับจำเลยที่ ๒ กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิม หากไม่รับจำเลยที่ ๒ กลับเข้าทำงาน ขอให้โจทก์จ่ายค่าเสียหาย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างระหว่างพักงาน ค่าชดเชย กับคืนพันธบัตรมูลค่า ๒๐๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยที่ ๒ด้วย
โจทก์ให้การต่อสู้คดี
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการสาธารณูปโภคในเขตกรุงเทพมหานคร สถานธนานุบาลมีนบุรีเป็นหน่วยงานของโจทก์จัดตั้งขึ้นตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพาณิชย์เกี่ยวกับสถานธนานุบาล โจทก์ได้ออกระเบียบและคำสั่งในการดำเนินการ รวมทั้งคำสั่งเรื่องการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของพนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร ที่ ๑๘/๒๕๒๘จำเลยที่ ๑ ขณะเกิดเหตุเป็นลูกจ้างโจทก์ดำรงตำแหน่งพนักงานรักษาของสถานธนานุบาลมีนบุรี มีหน้าที่รักษาทรัพย์ รับจำนำและรับผิดชอบทรัพย์รับจำนำเสียหายหรือสูญหายของสถานธนานุบาลมีนบุรี จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการของสถานธนานุบาลมีนบุรีมีหน้าที่ปฏิบัติและควบคุมบังคับบัญชาตลอดจนรับผิดชอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกตำแหน่งในสถานธนานุบาลมีนบุรีของโจทก์ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ว่าด้วยการรับจำนำ รักษาทรัพย์รับจำนำและรับผิดชอบชดใช้ความเสียหายหรือความสูญเสียทุกประการ ควบคุมรับผิดชอบตรวจบัญชีทรัพย์หายและชดใช้ความเสียหายเนื่องแต่การรับจำนำทรัพย์หาย ควบคุมและออกคำสั่งให้พนักงานสถานธนานุบาลมีนบุรีปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายให้เรียบร้อยและเป็นผลดีแก่สถานธนานุบาลมีนบุรี ขณะที่จำเลยทั้งสองปฏิบัติงานในหน้าที่อยู่นั้น เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๓๐ โจทก์ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ไปทำการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบการทุจริตโดยที่สถานธนานุบาลมีนบุรีรับจำนำทรัพย์ประเภททองรูปพรรณ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยทั้งสองเป็นของปลอมจำนวนมาก และมีทรัพย์จำนำประเภททองรูปพรรณหายจำนวน ๓ รายการ วันที่ ๒๙กรกฎาคม ๒๕๓๐ ตรวจพบว่าทรัพย์ที่รับจำนำประเภททองรูปพรรณที่เป็นของปลอมจำนวน ๑๔๗ รายการ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๐ ตรวจพบว่าทรัพย์สินหลุดจำนำประเภททองรูปพรรณสูญหายอีก ๑ รายการ และวันที่๔ สิงหาคม ๒๕๓๐ ตรวจพบทรัพย์ที่รับจำนำประเภททองรูปพรรณที่เป็นของปลอมเพิ่มอีก ๑ รายการ ทั้งนี้เมื่อระหว่างเดือนมีนาคม ๒๕๓๐ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๐ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่จำเลยทั้งสองดำรงตำแหน่งเป็นพนักงานของโจทก์ประจำสถานธนานุบาลมีนบุรี จำเลยทั้งสองได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำผิดสัญญาจ้างเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับการจ้างทั้งไม่ปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมและประพฤติตนอยู่ในความสุจริต รักษาประโยชน์ของโจทก์เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองมีหน้าที่รักษาทรัพย์ที่รับจำนำและรับผิดชอบทรัพย์ที่รับจำนำเสียหายหรือสูญหายของสถานธนานุบาลมีนบุรี ซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตและจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามคำสั่งสำนักงานกลาง จสธก.ที่ ๑๘/๒๕๑๘ เรื่อง กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของพนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานครอย่างเคร่งครัด แต่ในการปฏิบัติหน้าที่รักษาทรัพย์ที่รับจำนำดังกล่าวจำเลยทั้งสองหาได้ทำเช่นนั้นไม่ โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง กล่าวคือจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำทองรูปพรรณซึ่งเป็นของปลอมไปสับเปลี่ยนกับทรัพย์ที่รับจำนำซึ่งเป็นของแท้จำนวน ๑๔๘ รายการ คิดเป็นราคาที่รับจำนำไว้ ๑,๒๘๕,๑๐๐ บาท และเบียดบังยักยอกเอาทรัพย์รับจำนำประเภททองรูปพรรณ จำนวน ๔รายการ คิดเป็นราคาที่รับจำนำไว้ ๓๐,๐๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏหลักฐานการจำหน่าย ซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์เป็นค่าเสียหายจากทรัพย์ที่รับจำนำถูกเปลี่ยนเป็นของปลอมจำนวน๑๔๘ รายการ เป็นเงิน ๑,๒๘๕,๑๐๐ บาท ค่าเสียหายที่ทรัพย์รับจำนำสูญหายจำนวน ๔ รายการ คิดตามราคาท้องตลาดเป็นเงิน ๔๓,๒๐๐ บาทค่าเสียหายจากดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ปรากฏในตั๋วรับจำนำถึงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๐ จำนวน ๘๕,๓๒๕.๒๕ บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น ๑,๔๑๓,๖๒๕.๒๕ บาท โจทก์ได้รับชดใช้จากจำเลยที่ ๑ แล้วเป็นเงิน ๑๕๒,๑๘๓.๖๒ บาท คงเหลือค่าเสียหายที่โจทก์จะต้องได้รับชดใช้เป็นเงิน ๑,๒๖๑,๔๔๑.๖๓ บาท การที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันจงใจปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยและหาตัวผู้รับผิดทางแพ่ง คณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นให้ลงโทษทางวินัยแก่จำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองรับผิดทางแพ่งและทางอาญา โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์และจำเลยทราบแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่ง แต่ต่อมาศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตามคดีหมายเลขแดง๒๒๖๘/๒๕๓๒ ของศาลแพ่ง เนื่องจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคดีระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑,๒๖๑,๔๔๑.๖๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่๑๑ กันยายน ๒๕๓๐ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินดังกล่าวเสร็จสิ้น
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้คดี
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ไม่ขาดอายุความ และไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๗๗/๒๕๓๐ ของศาลจังหวัดมีนบุรี และศาลแรงงานกลางไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเปลี่ยนทรัพย์ที่รับจำนำเป็นของปลอมโจทก์เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ทั้งไม่ต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานแก่จำเลยที่ ๒กรณีไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยทั้งสองต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์มีสิทธิยึดพันธบัตรรัฐบาลไว้ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายจำนวน๑,๒๖๑,๔๔๑.๖๓บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้โจทก์ คำขอของจำเลยที่ ๒ ให้ยก
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยมาเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ได้ความว่า จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างโจทก์ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสถานธนานุบาลมีนบุรี จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ สนิทกัน จำเลยที่ ๒ อาศัยอยู่บนชั้น ๓ของสำนักงานสถานธนานุบาลมีนบุรี มีการสับเปลี่ยนทองนับร้อยรายซึ่งต้องทำมาเป็นเวลานาน เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำเพียงคนเดียวแต่จำเลยที่ ๒ ต้องรู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ ๑ ในการสับเปลี่ยนทองคำที่รับจำนำไว้ด้วย เมื่อผู้จัดการสถานธนานุบาลมีหน้าที่ตามคำสั่งของสำนักงานกลาง จสธก. ที่ ๑๘/๒๕๑๘ เอกสารหมาย จ.๔โดยหน้าที่หลักแล้วผู้จัดการมีหน้าที่ปฏิบัติและควบคุมบังคับบัญชาตลอดจนรับผิดชอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกตำแหน่งในสถานธนานุบาลที่ผู้จัดการนั้นรับผิดชอบให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบการต่าง ๆ ว่าด้วยการรับจำนำ จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน๑,๒๖๑,๔๔๑.๖๓ บาท
ที่จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๗๗/๒๕๓๐ ของศาลจังหวัดมีนบุรีเห็นว่า ในคดีอาญาดังกล่าวพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ในฐานความผิดเรื่องยักยอก และขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยักยอกไป ศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ผู้เสียหายที่พนักงานอัยการขอมาในคำฟ้องคดีอาญานั้น แม้จะถือว่าเป็นการขอแทนผู้เสียหายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔๓ ก็ตาม แต่เป็นกรณีที่ความเสียหายนั้นเนื่องมาจากการกระทำผิดอาญาเท่านั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกจ้างทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ ๒ ที่ทำให้เกิดความเสียหายนี้อาจเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองทางคือในมูลละเมิดและในมูลแห่งสัญญาจ้างแรงงานที่มีต่อกันอยู่ในคดีอาญาดังกล่าวกับคดีนี้ ถึงแม้คำขอบังคับจะมีลักษณะเป็นอย่างเดียวกัน คือขอให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหาย แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นมิได้เป็นอย่างเดียวกัน ในคดีอาญานั้นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่พนักงานอัยการขอบังคับในส่วนแพ่งนั้นเป็นที่เห็นได้ว่ามาจากข้ออ้างเนื่องจากการกระทำผิดทางอาญาอันเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้ละเมิด แต่คดีนี้มีที่มาจากมูลสัญญาจ้างแรงงาน ในเมื่อมูลหนี้ในคำฟ้องของทั้งสองคดีเป็นคนละอย่างเช่นนี้ ประเด็นที่วินิจฉัยจึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ และคำฟ้องของโจทก์กรณีของการผิดสัญญาจ้างแรงงานนั้นเป็นอำนาจของคู่สัญญาโดยเฉพาะ พนักงานอัยการที่เป็นโจทก์ในคดีอาญาไม่อาจจะอาศัยสิทธิในเรื่องของสัญญาจ้างแรงงานมาเป็นข้ออ้างในคำขอส่วนแพ่งได้จึงมิใช่เป็นกรณีที่เป็นการฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันในความหมายที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓วรรคสอง (๑) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ไม่เป็นฟ้องซ้อน
ที่จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนคดีอาญา ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ในมูลของการผิดสัญญาจ้างแรงงานอยู่ด้วยดังที่กล่าวไว้แล้วคำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๐จึงนำบทบัญญัติในมาตรา ๔๖ มาใช้กับการพิจารณาคดีนี้ดังที่จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ไม่ได้
พิพากษายืน.

Share