คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระพุทธรูปซึ่งเป็นศาสนสมบัติของวัด จึงอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา 37(1) จำเลยที่ 1 เบียดบังเอาพระพุทธรูปเป็นของตนหรือของจำเลยที่ 2 โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการเบียดบังเอาพระพุทธรูป มีความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานยักยอกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วยข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192และการยกฟ้องนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจรพระพุทธรูปซึ่งเป็นที่สักการะบูชาของประชาชน 2 องค์ของวัดป่าพร้าวไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 335 ทวิ, 357, 83

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ทวิ, 83 จำคุกคนละ 15 ปี มีเหตุบรรเทาโทษสำหรับจำเลยที่ 2ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 เจ็ดปี หกเดือน

จำเลยที่ 2, 3, 4 และ 5 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2, 4 และ 5 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้ร่วมกันเอาพระพุทธรูป2 องค์ไปจากพระวิหารแล้วเอาพระพุทธรูปเลียนแบบซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้สร้างแทนไว้ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยทั้งห้าคนจะเป็นผิดกฎหมายฐานใด และจะลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์ได้หรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่าพระพุทธรูป 2 องค์นั้นอยู่ในความดูแลรักษาของนายอาคม พรหมปัญญา ไวยาวัจกรของวัดป่าพร้าวในเรื่องผู้ใดมีหน้าที่ดูแลรักษาศาสนสมบัติของวัดนั้น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. 2505 มาตรา 37(1) บัญญัติว่า เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ดังนั้น พระพุทธรูป 2 องค์ซึ่งเป็นศาสนสมบัติของวัดป่าพร้าวจึงอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าพร้าว ไวยาวัจกรซึ่งเป็นผู้ที่เจ้าอาวาสแต่งตั้งขึ้นนั้นมีหน้าที่เพียงทำธุรกิจแทนวัดเท่านั้นดังนั้น หากนายอาคมเป็นผู้ดูแลรักษาพระพุทธรูป 2 องค์ดังที่โจทก์บรรยายในฟ้อง ก็เป็นการดูแลรักษาแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยังมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาอยู่ เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดูแลรักษาพระพุทธรูปดังกล่าว จำเลยที่ 1 เบียดบังเอาพระพุทธรูปเป็นของตนหรือของจำเลยที่ 2 โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอก จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการเบียดบังเอาพระพุทธรูปไป จึงมีความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วย โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานยักยอก จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วยข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และการยกฟ้องนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาด้วย

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งห้าคน

Share