คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมวัดโจทก์ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว ต่อมาที่ตั้งวัดถูกทางราชการเวนคืน จึงย้ายไปตั้งในที่ดินที่มีผู้จัดซื้อถวาย ห่างที่ตั้งวัดเดิมประมาณ 1 กิโลเมตรเศษโบสถ์หลังเดิมยังอยู่ พระสงฆ์ยังใช้ทำสังฆกรรมตลอดมา วัดโจทก์จึงมีฐานะเป็นวัดอยู่เช่นเดิม หาใช่เป็นสำนักสงฆ์ไม่ ที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นวัดในพระพุทธศาสนาอันเป็นนิติบุคคล ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยมาขออาศัยเพื่อประกอบการค้า ต่อมาโจทก์ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ออกไป จำเลยไม่รื้อถอน ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนออกไปจากที่พิพาท

จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ ยังไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นวัดตามกฎหมาย ไม่มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมวัดโจทก์ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้วต่อมาที่ตั้งวัดถูกทางราชการเวนคืน จึงย้ายไปตั้งในที่ดินที่ผู้อื่นจัดซื้อถวาย ซึ่งห่างจากที่ตั้งวัดเดิมราว 1 กิโลเมตรเศษ โบสถ์หลังเดิมยังอยู่ พระสงฆ์ยังใช้ทำสังฆกรรมตลอดมาเมื่อเป็นดังนี้ วัดโจทก์จึงมีฐานะเป็นวัดอยู่เช่นเดิม หาใช่เป็นสำนักสงฆ์ไม่ที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

พิพากษายืน

Share