คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3098/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การประกันภัยเป็นนิติกรรมในลักษณะประเภทของสัญญาอย่างหนึ่ง ซึ่งมีผลทำให้เกิดนิติสัมพันธ์อันพึงต้องปฏิบัติและบังคับระหว่างกันเฉพาะแต่คู่สัญญาเท่านั้น หามีผลผูกพันให้ใช้บังคับแก่บุคคลภายนอกไม่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้รับผิดในผลจากมูลละเมิดของจำเลย ไม่ใช่เป็นการฟ้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยโดยตรง จึงไม่อยู่ในบังคับต้องมีต้น ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดหรือตัวแทนมาแสดงตาม ป.พ.พ. มาตรา 867 และไม่ต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 ศาลย่อมรับฟังพยานบุคคลได้โดยไม่ต้องอาศัยเอกสาร และแม้โจทก์จะส่งอ้างภาพถ่ายสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานและแนบคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 มาท้ายคำแถลงการณ์ของโจทก์ ก็จะอาศัยเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์หาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์นั่งสองแถวไว้จากนายผลัด จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกเสาเข็มในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 6 และที่ 3 ด้วยความประมาท ทำให้รถยนต์นั่งสองแถวของนายผลัดเสียหายเป็นเงิน 60,000 บาท โจทก์ได้จ่ายเงินให้นายผลัดไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 4ในฐานะผู้รับประกันภัยรถบรรทุกเสาเข็มให้ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธข้ออ้างตามฟ้องโจทก์ทุกข้อ และขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า สัญญาประกันภัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 บัญญัติให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายต้องรับผิดหรือตัวแทนไว้เป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ แต่คดีนี้โจทก์อ้างส่งเฉพาะภาพถ่ายสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟัง และจะนำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารก็ไม่ได้ แม้ภายหลังโจทก์ยื่นคำแถลงการณ์เป็นหนังสือแนบคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยมาด้วย คู่ฉบับดังกล่าวก็มิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงรับฟังไม่ได้อีกเช่นกันว่าโจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้ จึงไม่ได้รับช่วงสิทธิให้มาฟ้องคดีนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากนายผลัด เดชะ และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยประเด็นพิพาทข้ออื่นจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่ากรณีนี้โจทก์จะต้องมีต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดหรือตัวแทนมาแสดง ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคแรก ด้วยหรือไม่จึงจะฟ้องบังคับคดีได้ และกรณีต้องห้ามมิให้รับฟังพยานบุคคลที่นำมาสืบแทนพยานเอกสาร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94หรือไม่ เห็นว่า การประกันภัยเป็นนิติกรรมในลักษณะประเภทของสัญญาอย่างหนึ่ง ซึ่งมีผลให้เกิดนิติสัมพันธ์อันพึงต้องปฏิบัติและบังคับระหว่างกันเฉพาะแต่คู่สัญญาเท่านั้น หามีผลผูกพันให้ใช้บังคับแก่บุคคลภายนอกไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้รับผิดในผลจากมูลละเมิดของฝ่ายจำเลย ไม่ใช่เป็นการฟ้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยโดยตรง จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งบทกฎหมายที่จะต้องมีเอกสารมาแสดงตามมาตรา 867 ดังกล่าว และไม่ต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94ศาลย่อมรับฟังพยานบุคคลได้โดยไม่ต้องอาศัยเอกสาร ดังนั้นในคดีนี้แม้โจทก์จะส่งอ้างภาพถ่ายสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานและแนบคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 มาท้ายคำแถลงการณ์ของโจทก์ ก็จะอาศัยเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.

Share