แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าของที่ดินคนเดิมได้แสดงเจตนายกที่ดินพิพาทของตนบางส่วนให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ไปแล้วก่อนที่โจทก์ซื้อมา การที่จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของเจ้าของเดิมปลูกสร้างอาคารและรั้วในที่พิพาทจึงเป็นการกระทำโดย ปราศจากสิทธิที่จะอ้างได้โดยชอบ และทำให้โจทก์เสียหาย เพราะปิดบังหน้าที่ดินและทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ที่จะไปสู่ถนนใหญ่ จึงต้องรื้อถอนออกไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยที่ ๑ กับนายดำรง อัตนวานิชสามีเป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๓๐ ตารางวา ที่ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ ได้ทำสัญญาจะซื้อขายให้โจทก์ทั้งสาม ต่อมาได้ออกโฉนด ลงชื่อนายดำรง อัตนวานิช ผู้เดียวถือกรรมสิทธิ์ ทางการออกโฉนดที่ ๑๑๐๗๘ ให้ระบุเขตที่ดินทิศเหนือว่าจดถนนสายการบินพลเรือน นายดำรง อัตนวานิช ได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ทั้งสามเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๐๖ วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๓ โจทก์ที่ ๑ ไปดูที่ดินพบว่า จำเลยทั้งสองปลูกสร้างอาคาร ๒ หลังและสร้างรั้วปิดกั้นที่ดินทั้งแปลงทำให้ที่ดินของโจทก์ราคาตกและไม่มีทางเข้าออกสู่ถนน ขาดรายได้จากการที่จะมีผู้มาขอเช่าที่ดินของโจทก์ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองให้รื้อถอนโรงเรือนของตนออกไปจากหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งสามซึ่งอยู่ติดถนนสายการบินพลเรือนอันเป็นทางสาธารณประโยชน์ และชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นรายวัน จนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนโรงเรือนของตนออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสามเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินโฉนดที่ ๑๑๐๗๘ ทิศเหนือไม่ได้ติดกับถนนสายการบินพลเรือน แต่ติดกับที่ดินของนายดำรง อัตนวานิช ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ อาคารและรั้วตามฟ้องจำเลยที่ ๑ ปลูกสร้างในที่ดินของนายดำรง อัตนวานิช บิดาจำเลยที่ ๒ นายดำรง อัตนวานิชถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยทั้งสองเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับมรดกและเป็นเจ้าของที่ดินส่วนนี้มีสิทธิปลูกอาคารและรั้วได้ เดิมถนนสายการบินพลเรือนกันที่ดินไว้กว้างกว่าปัจจุบัน ต่อมาภายหลังกรมการบินพาณิชย์กันที่ดินเพื่อใช้ทำถนนเพียง ๑๔ เมตร ที่ดินส่วนที่เหลือจึงเป็นของเจ้าของเดิม คือนายดำรง อัตนวานิช โจทก์ทั้งสามยังไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินจึงยังไม่เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนอาคารโรงเรือนและรั้วออกไปจากบริเวณเส้นประสีน้ำเงินในแผนที่พิพาทหมาย ป.จ.๑๓ ซึ่งอยู่หน้าบริเวณเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสามตามโฉนดที่ดินหมาย จ.๓ และหมาย จ.๗ ให้เสร็จสิ้น ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๕๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไปให้แก่โจทก์ทั้งสาม จนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะรื้อถอนอาคารโรงเรือนและรั้วออกไปจากบริเวณเขตหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งสามเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนายดำรง อัตนวานิช สามีจำเลยที่ ๑ และเป็นบิดาของจำเลยที่ ๒ ต่อมากรมการบินพาณิชย์ได้ซื้อที่ดินซึ่งอยู่ข้างใน จึงได้เจรจาขอแบ่งที่ดินจากเจ้าของที่ดินเพื่อทำถนนเชื่อม เจ้าของที่ดินทุกรายตกลงแบ่งที่ดินให้ทำถนนดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๐๕ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทให้กับโจทก์ที่ ๑ ระบุเขตที่ดินว่า ทิศเหนือจดถนนวิทยุการบินพลเรือน นายดำรงได้ขอรังวัดออกโฉนดที่พิพาท ทางการออกโฉนดที่ ๑๑๐๗๘ ให้เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๐๖ ระบุเขตที่ดินทิศเหนือและทิศตะวันตกว่าจดถนนสาธารณประโยชน์ นายดำรงได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ทั้งสามเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๖ โจทก์ทั้งสามได้ขอแบ่งแยกที่ดินออกไปอีก ๓ แปลง แปลงทางทิศเหนือเป็นของโจทก์ที่ ๑ โฉนดที่ ๑๖๒๘๒ ระบุเขตที่ดิน ทิศเหนือว่าจดถนนสายการบินพลเรือน แปลงกลางเป็นของโจทก์ที่ ๓ โฉนดที่ ๑๖๒๘๑ แปลงทางทิศใต้เป็นของโจทก์ที่ ๒ โฉนดที่ ๑๖๒๘๐ ส่วนที่ดินโฉนดเดิมคงมีชื่อโจทก์ทั้งสามถือกรรมสิทธิ์และมีเนื้อที่เหลือ ๒ งาน ๒๖ ตารางวาเป็นถนนติดที่ดินที่แบ่งไปทั้งสามแปลงเชื่อมกับถนนสายการบินพลเรือนทางทิศเหนือต่อมาวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๑๒ กรมการบินพาณิชย์มีหนังสือแจ้งนายอำเภอเมืองสมุทรปราการว่า ที่ดินที่ราษฎรรวม ๙ ราย มอบให้ทางราชการกรมการบินพาณิชย์ทำถนนนั้นใช้ทำถนนกว้าง ๑๓ เมตร ที่เหลือคงเป็นของเจ้าของเดิม จึงมีที่ว่างระหว่างถนนกับเขตที่ดินโฉนดที่ ๑๖๒๘๒ ของโจทก์ที่ ๑ และที่ดินโฉนดที่ ๑๑๐๗๘ ของโจทก์ทั้งสามที่ใช้เป็นถนนเชื่อมต่อกับถนนสายการบินพลเรือน ที่ว่างดังกล่าวคือที่พิพาทในคดีนี้มีความกว้างประมาณ ๘ เมตร ยาวประมาณ ๔๐ เมตร จำเลยเข้าไปปลูกอาคาร ๒ หลังและปักเสาคอนกรีตสำหรับขึงลวดหนามริมถนน ต่อจากรั้วเสริมคอนกรีตเขตที่ดินจำเลยไปจนจดคลองชลประทาน โจทก์ที่ ๑ ไปดูที่ดินพบว่ามีอาคารและรั้วดังกล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๓ จึงแจ้งให้จำเลยรื้อถอนแล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าที่ดินที่นายดำรงขายให้โจทก์ทั้งสามนั้นเดิมมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเล่ม๑/๒๕๐๒ เลขที่ ๖๕/๒๕๐๒ หน้า ๑๔๑ ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ และมีเขตติดต่อกับที่ดินซึ่งมีการครอบครองและเขตคลองชลประทานไม่มีด้านใดติดถนน เมื่อนายดำรงนำรังวัดที่ดินแปลงนี้เพื่อออกโฉนดได้นำชี้ที่ดินด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกว่า ติดถนนสาธารณประโยชน์ เป็นการแสดงว่า นายดำรงเจตนายกที่ดินของตนส่วนที่อยู่นอกเขตโฉนดทางทิศเหนือและทิศตะวันตกให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๐๕ และทางราชการโดยนายอำเภอเมืองสมุทรปราการได้มอบให้ผู้แทนมาลงชื่อรับรองแนวเขตถนนสาธารณประโยชน์เป็นหลักฐานแล้ว ทางราชการจึงออกโฉนดที่ ๑๑๐๗๘ ให้นายดำรงโดยในแผนที่หลังโฉนดระบุไว้ว่า ที่ดินทางทิศเหนือติดถนนสายการบินพลเรือน ต่อมาโจทก์ทั้งสามขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงนี้ นายอำเภอเมืองสมุทรปราการก็ได้มอบให้พนักงานที่ดินอำเภอมาลงชื่อรับรองแนวเขตถนนสาธารณประโยชน์อีกครั้งหนึ่งตามหนังสือแจ้งเรื่องการชี้เขตที่ดินลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ การที่หัวหน้ากองช่างสื่อสารและช่วยการเดินอากาศกรมการบินพาณิชย์ มีหนังสือถึงนายอำเภอเมืองสมุทรปราการแจ้งเรื่องที่ดินที่ใช้ทำถนนกว้างเพียง ๑๔ เมตร ส่วนที่เหลือคงเป็นของเจ้าของเดิมย่อมหมายถึงเจ้าของที่ดินที่ยังมีที่ดินเหลือจากเขตถนน แต่นายดำรงได้อุทิศที่ดินให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ไปแล้วไม่มีส่วนที่ยังคงเหลือจากที่ขายให้โจทก์ทั้งสามอยู่อีก คงมีที่ดินตามตราจองของนายดำรงซึ่งอยู่ติดที่ดินที่ขายให้โจทก์ทั้งสาม และนายดำรงก็ได้ขอรังวัดออกโฉนดที่ดินตามตราจองแปลงนี้โดยมิได้เรียกร้องให้มีการออกโฉนดในที่ดินส่วนที่เหลือจากการขายให้โจทก์ทั้งสามแต่อย่างใด แสดงว่านายดำรงทราบอยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิอย่างใดในที่พิพาท การที่จำเลยปลูกสร้างอาคารและรั้วในที่พิพาทจึงเป็นการกระทำโดยปราศจากสิทธิที่จะอ้างได้โดยชอบและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะปิดบังหน้าที่ดินและทางเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ไปสู่ถนนใหญ่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลให้ ๒,๐๐๐ บาท.