แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ธ. เป็นบิดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของจำเลย ธ.ซื้อที่ดินพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง แต่ใส่ชื่อจำเลยผู้เยาว์ไว้ในโฉนดแทนแล้วได้ขายที่ดินและตึกพิพาทให้โจทก์ แม้ ธ.จะขายให้โจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล ก็ไม่ทำให้สิทธิการได้มาของโจทก์เสียไป เพราะจำเลยเพียงแต่มีชื่อในโฉนดเป็นการถือกรรมสิทธิ์แทน ธ. เท่านั้นหาใช่ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยผู้เยาว์ไม่
หลังจากที่โจทก์ซื้อทรัพย์พิพาทจาก ธ. ธ. ไม่อาจโอนให้ได้เพราะโฉนดมีชื่อจำเลยซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ ก็มิได้มีการตกลงกันเรื่องการโอนทางทะเบียนอีกเป็นการแน่นอนว่าจะโอนกันหรือไม่เมื่อใดโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ใช้เป็นสำนักงานสาขาสำเพ็ง ลงบัญชีว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์ เสียค่าภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือนเอง แจ้งให้ผู้ตรวจการธนาคารแห่งประเทศไทยทราบทุกครั้งว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์ทั้งยังทำหนังสือแจ้งให้กระทรวงการคลังทราบทั้งยังขออนุมัติรื้อถอนตัวอาคารเมื่อย้ายสำนักงานสาขาไปตั้งยังที่แห่งใหม่ซึ่งกระทรวงการคลังก็อนุมัติแสดงว่าทั้งโจทก์และนายธรรมนูญไม่ได้คำนึงถึงการที่จะทำการจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทให้ถูกต้องตามกฎหมายกันต่อไป ถือได้ว่านายธรรมนูญสละการครอบครองทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์โดยเด็ดขาดการครอบครองของโจทก์จึงเป็นการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของหาใช่ครอบครองตามสัญญาจะซื้อขายไม่ เมื่อเกินสิบปีโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์
ย่อยาว
โจทก์ร้องขอให้ศาลสั่งให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๖ พร้อมตึกแถวสี่ชั้นเลขที่ ๔๑๒ อ้างว่าซื้อมาจากนายธรรมนูญ นิรันดร แล้วได้ครอบครองโดยความสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยเปิดเป็นสำนักงานของโจทก์สาขาสำเพ็งตลอดมา
จำเลยคัดค้านว่า ทรัพย์ดังกล่าวเป็นของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ นายธรรมนูญนิรันดร เป็นเพียงผู้ครอบครองแทนจำเลย โจทก์จะอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันจำเลยไม่ได้ โจทก์เช่าตึกแถวเลขที่ ๔๑๒ จากนายธรรมนูญ ไม่เคยซื้อที่ดินหรือตึกแถวนั้นจากนายธรรมนูญ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์ตามที่ฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายธรรมนูญ นิรันดร บิดาจำเลยซื้อที่ดินโฉนดพิพาทไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ ใส่ชื่อจำเลยไว้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ขณะนั้นจำเลยมีอายุประมาณ ๑ ปี ตึกเลขที่ ๔๑๒ ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดพิพาท นายธรรมนูญเป็นผู้จัดการทรัพย์สินรายนี้ตลอดมาแต่ผู้เดียวเป็นเวลา ๒๐ ปีเศษแล้ว จำเลยเองไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องด้วยเลยแม้หลังจากบรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ นายธรรมนูญตกลงขายที่ดินและตึกพิพาทให้โจทก์เพื่อใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานสาขาสำเพ็งในราคา ๖๕๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่อาจโอนทะเบียนให้โจทก์ได้ เพราะชื่อในโฉนดเป็นของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์นายธรรมนูญได้มอบโฉนดพิพาทให้โจทก์เก็บรักษาไว้
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลย ข้อ ๓ (๒), (๓), (๗) ที่ว่านายธรรมนูญ นิรันดร ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลเพราะเป็นทรัพย์สินของผู้เยาว์ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายธรรมนูญ กับที่ฎีกาว่าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายยังต้องมีการโอนทางทะเบียนกัน แม้โจทก์จะครอบครองนานสักเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทนั้นเห็นว่า จำเลยเพียงแต่มีชื่อในโฉนดเป็นการถือกรรมสิทธิ์แทนนายธรรมนูญ นิรันดรเท่านั้น หาใช่ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ไม่ ดังนั้นแม้นายธรรมนูญจะขายให้แก่โจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล ก็ไม่ทำให้สิทธิการได้มาของโจทก์ในกรณีนี้เสียไป ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากโจกท์ซื้อทรัพย์พิพาทจากนายธรรมนูญนายธรรมนูญไม่อาจโอนให้ได้เพราะโฉนดมีชื่อจำเลยซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ ก็มิได้มีการตกลงกันเรื่องการโอนทางทะเบียนอีกเป็นการแน่นอนว่าจะโอนกันหรือไม่เมื่อใดโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ใช้เป็นสำนักงานสาขาสำเพ็ง ลงบัญชีว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์เสียค่าภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือนเอง แจ้งให้ผู้ตรวจการธนาคารแห่งประเทศไทยทราบทุกครั้งว่าเป็นทรัพย์สินของโจทก์ ทั้งยังทำหนังสือแจ้งให้กระทรวงการคลังทราบ ทั้งยังขออนุมัติรื้อถอนตัวอาคารเมื่อย้ายสำนักงานสาขาไปตั้งยังที่แห่งใหม่ กระทรวงการคลังก็อนุมัติ ทั้งโจทก์ไม่เคยชำระค่าเช่าให้แก่นายธรรมนูญและจำเลยอีกเลย นับตั้งแต่ตกลงซื้อเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ จนถึงวันฟ้องเป็นเวลาร่วม ๒๐ ปี แสดงว่าทั้งโจทก์และนายธรรมนูญไม่ได้คำนึงถึงการที่จะทำการจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทให้ถูกต้องตามกฎหมายกันต่อไป ถือได้ว่านายธรรมนูญสละการครอบครองทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์โดยเด็ดขาด การครอบครองของโจทก์จึงเป็นการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของหาใช่ครอบครองตามสัญญาจะซื้อขายไม่ โจทก์ได้ครอบครองที่ดินและตึกพิพาทนี้ไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ ติดต่อกันจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ทั้งคดีฟังไม่ได้ว่าโจทก์กับนายธรรมนูญคบคิดกันทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์เสียหาย คำพิพากษาฎีกาต่าง ๆ ที่จำเลยอ้างมาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ รูปคดีเป็นเรื่องที่นายธรรมนูญบิดาจำเลยไม่สุจริต ซื้อที่ดินมาเองเพื่อขายต่อเอากำไรแต่โอนโส่ชื่อบัตรอายุเพียง ๑ ขวบไว้ให้ถือกรรมสิทธิ์แทน แล้วเพทุบายว่าไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อได้ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๕,๐๐๐ บาท แทนโจทก์