คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2468/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนต้นอ้อยออกไปจากที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาล จำเลยให้การว่า จำเลยปลูกอ้อยโดยสุจริตจึงมีสิทธิตัดต้นอ้อยได้อีก 2 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิให้จำเลยรื้อถอนโดยพลัน คงมีสิทธิได้เพียงค่าเช่า หรือค่าเสียหายเท่านั้น ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนต้นอ้อยออกจากที่ดินดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้จัดการให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินแล้วตามบันทึกการมอบการครอบครองที่ดินโดยบันทึกดังกล่าวปรากฏข้อความด้วยว่าที่ดินอยู่ในสภาพว่างเปล่า มีตออ้อยถูกเผาตายอยู่เพียงเล็กน้อยกับมีพงหญ้าขึ้นสูงเต็มไปหมด ดังนี้ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาลจะเข้าครอบครองที่ดินได้ต่อเมื่อได้ใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยก่อน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1310 วรรคแรก และมาตรา 1314 จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินของจำเลยทั้งสอง จากการขายทอดตลาดของศาล และได้จดทะเบียนโอนมาเป็นชื่อโจทก์ บนที่ดินดังกล่าวมีต้นอ้อยของจำเลยทั้งสองปลูกอยู่เต็มเนื้อที่ สภาพของต้นอ้อยดังกล่าวถูกทิ้งร้างไม่ได้บำรุงรักษา โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนต้นอ้อยออกจากที่ดินดังกล่าว จำเลยทราบแล้วเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถเข้าปรับที่ดินเพื่อการเกษตรได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนต้นอ้อยในที่ดินดังกล่าวและห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องที่ดินดังกล่าวต่อไปหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์เข้ารื้อถอนต้นอ้อยของจำเลยทั้งสองเอง โดยจำเลยออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ปลูกต้นอ้อยบนที่ดินตามฟ้องเต็มพื้นที่โดยสุจริตและได้ใส่ปุ๋ย ดายหญ้า ต้นอ้อยของจำเลยทั้งสองงอกงามดี ถ้าถึงฤดูกาลตัดต้นอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลจะได้ราคาประมาณ200,000 บาท จำเลยทั้งสองมีสิทธิทำการตัดอ้อยดังกล่าวได้อีก 2 ปีโจทก์ไม่มีสิทธิห้ามปรามจำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโจทก์มีสิทธิเพียงได้ค่าเช่าหรือค่าเสียหายฐานละเมิดเท่านั้น หากโจทก์จะให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดิน โจทก์ต้องชดใช้ค่าส่วนเพิ่มของที่ดินเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท แก่จำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนต้นอ้อยออกจากที่ดินตามฟ้อง ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อไป
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การที่จำเลยทั้งสองปลูกอ้อยอยู่ก่อนแล้วในที่ดินพิพาท ต่อมามีภารขายทอดตลาดที่ดินนั้นไป โจทก์เจ้าของที่ดินจะเข้าครอบครองที่ดินได้ต่อเมื่อได้ใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310 วรรคแรก และมาตรา 1314 นั้น ปรากฎว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนต้นอ้อยออกไปจากที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาล จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยทั้งสองปลูกอ้อยโดยสุจริต จึงมีสิทธิตัดต้นอ้อยได้อีก 2 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโดยพลัน คงมีสิทธิได้เพียงค่าเช่าหรือค่าเสียหายเท่านั้น ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนต้นอ้อยออกจากที่ดินตามฟ้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์ให้ทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้จัดการให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินแล้วปรากฏตามบันทึกการมอบการครอบครองที่ดินในสำนวนคดีนี้ ทั้งตามบันทึกดังกล่าวยังปรากฏข้อความด้วยว่า ที่ดินอยู่ในสภาพว่างเปล่ามีตออ้อยถูกเผาตายอยู่เพียงเล็กน้อย กับมีพงหญ้าขึ้นสูงเต็มไปหมด ดังนี้ เห็นว่าแม้คำวินิจฉัยในชั้นฎีกาจะออกมาในรูปใด ผลแห่งคำวินิจฉัยก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของจำเลยทั้งสองอีกต่อไป ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก”
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง.

Share