คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโดยไม่นัดไต่สวนมูลฟ้องหรือนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องหรือไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องก็ได้ทั้งสิ้นเป็นดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาให้คดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็วและชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยนำบัตรเครดิต(บัตรวีซ่า)ที่โจทก์ออกให้และห้ามจำเลยใช้ไปใช้ต่อสถานที่รับบริการบัตรเครดิตโดยปกปิดความจริงที่ควรจะต้องแจ้งว่าจำเลยไม่มีสิทธิจะใช้บัตรเครดิตดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหายต้องจ่ายเงินแก่สถานบริการนั้นจำเลยได้ทรัพย์สินไปเพราะการปกปิดข้อความจริงต่อเจ้าของสถานบริการทรัพย์สินที่จำเลยได้ไปก็มิใช่ทรัพย์สินของโจทก์การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ การที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้แก่สถานที่รับบริการการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยซื้อสินค้าหรือใช้บริการแทนจำเลยตามสัญญาที่โจทก์มีกับสถานที่รับบริการบัตรเครดิตเป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับในทางแพ่งไม่ใช่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการที่จำเลยหลอกลวงหรือปกปิดไม่แจ้งความจริงการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยตรงต่อสถานบริการนั้นๆกรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อโจทก์แม้โจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่สถานบริการก็ไม่ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายตามมาตรา2(4)แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ออกบัตรวีซ่า (ซึ่งเป็นเครดิตอย่างหนึ่ง) ให้จำเลย เพื่อให้จำเลยมีสิทธิใช้บัตรวีซ่าชำระค่าสินค้า ค่าบริการตามจำนวนไม่เกินที่โจทก์กำหนดต่อมาโจทก์ห้ามจำเลยใช้บัตรวีซ่าของโจทก์ แต่จำเลยยังทำนำไปใช้แก่สถานรับบริการบัตรวีซ่าอีกหลายแห่ง โดยปกปิดความจริงว่า จำเลยไม่มีสิทธิใช้และได้รับทรัพย์สินไปจำนวน 114 ครั้ง เป็นเงิน 308,531 บาท 15 สตางค์ โจทก์ต้องเสียหายในการจ่ายเงินแทนจำเลยตามข้อตกลงที่โจทก์มีกับสถานรับบริการบัตรวีซ่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 91 ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนมูลฟ้อง แต่พอถึงวันนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงงดไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า เป็นการผิดสัญญาทางแพ่งสถานบริการไม่เสียหายเพราะโจทก์จ่ายเงินแล้ว จำเลยไม่ได้หลอกลวงโจทก์พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์และจำเลยเป็นเรื่องของการผิดสัญญา โจทก์ต้องว่ากล่าวกับจำเลยทางแพ่ง ส่วนคำฟ้องที่อ้างว่าจำเลยกระทำต่อสถานที่รับบริการนั้น ผู้เสียหายโดยตรงคือเจ้าของสถานรับบริการ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์นั้นศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องไปเลยโดยไม่ได้นัดไต่สวนมูลฟ้องหรือนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องหรือไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องก็ได้ทั้งสิ้น เพราะเป็นดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาให้คดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็วและชอบด้วยกฎหมาย คดีนี้ศาลชั้นต้นได้พิจารณาถึงการกระทำของจำเลยตามฟ้องแล้วมีความเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงการผิดสัญญาในทางแพ่งจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง ก็ย่อมพิพากษายกฟ้องได้โดยไม่ต้องไต่สวนมูลฟ้อง เพราะการไต่สวนมูลฟ้องไม่ทำให้ข้อเท็จจริงตามฟ้องเปลี่ยนแปลงไปได้ การพิพากษาคดีดังกล่าวเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ส่วนปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์หรือไม่นั้นปัญหาข้อนี้โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยได้ใช้บัตรวีซ่าเกินวงเงินที่โจทก์ให้สิทธิแก่จำเลยแล้วโจทก์ได้ให้พนักงานของโจทก์ไปแจ้งให้จำเลยไปชำระหนี้แก่โจทก์ ห้ามไม่ให้จำเลยใช้บัตรวีซ่าของโจทก์อีกต่อไป และขอบัตรวีซ่าคืนด้วย แต่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดความจริงว่าจำเลยจะนำเงินไปชำระหนี้ให้โจทก์ส่วนบัตรวีซ่านั้นจำเลยไม่ได้เอามา แต่แล้วจำเลยได้นำบัตรวีซ่าไปชำระค่าสินค้าและค่าอาหารแก่สถานที่รับบริการบัตรวีซ่าของโจทก์โดยปกปิดความจริงที่ควรจะต้องแจ้งว่า จำเลยไม่มีสิทธิที่จะใช้บัตรวีซ่าของโจทกืชำระแทนเงินสด การปกปิดดังกล่าวเป็นผลให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากสถานรับบริการบัตรวีซ่าาของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องจ่ายเงินให้แก่สถานบริการ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์แล้วนั้น เห็นว่าจำเลยได้ทรัพย์สินไปเพราะการปกปิดข้อความจริงต่อเจ้าของสถานบริการ ทรัพย์สินที่จำเลยได้ไปก็มิใช่ทรัพย์สินของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ ปัญหาต่อไปที่ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่นั้น โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้ตกลงกับสถานที่รับบริการการใช้บัตรวีซ่าของโจทก์ว่าเมื่อมีผู้ถือบัตรวีซ่าของโจทก์ซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการแล้วให้ถือเสมือนว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อหรือใช้บริการนั้น ให้มารับเงินจากโจทก์ได้ดดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อจำเลยนำบัตรวีซ่าของโจทก์ไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการจึงเรียกใได้ว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการนั้น และโจทก์เป็นผู้จ่ายเงิน โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยตรงนั้นเห็นว่าความเสียหายดังที่ฎีกานั้น เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับในทางแพ่งคือความเสียหายในการที่ต้องจ่ายเงินให้แก่สถานที่รับบริการใช้บัตรวีซ่าที่จำเลยซื้อสินค้าหรือใช้บริการแทนจำเลยตามสัญญาที่โจทก์มีกับสถานที่รับบริการบัตรวีซ่านั้นซึ่งไม่ใช่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการที่จำเลยหลอกลวงหรือปกปิดไม่แจ้งความจริงแต่อย่างใด และการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำโดยตรงต่อสถานบริการนั้น ๆ ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อโจทก์ ถึงแม้โจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่สถานบริการดังที่ฎีกา ก็ไม่ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายตาม มาตรา 2(4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share