คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทของจำเลยที่ 2 เองมอบให้ ม. นำไปเป็นประกันการชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ส่วนตราที่ประทับไว้ในช่องผู้สั่งจ่ายในเช็คมิใช่ตราของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามจำนวนเงินในเช็คพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายด้วย มิใช่ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 แต่สถานเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าตราที่ประทับในช่องผู้สั่งจ่ายเป็นตราของจำเลยที่ 1ก็บังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ในฐานะผู้สั่งจ่ายได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า เช็คตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมเพราะตราที่ประทับมิใช่ตราสำคัญของจำเลยที่ ๑ เมื่อประมาณ ๒ ปีมานี้ นายมงคลอินดี ได้เช่าซื้อรถยนต์ ๒ คันจากโจทก์และค้างชำระค่าเช่าซื้อโจทก์บอกนายมงคลว่า ถ้าได้เช็คมาเป็นประกันค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระแล้วจะไม่ถือว่านายมงคลผิดนัดและจะไม่ยึดรถไป จำเลยที่ ๒ จึงมอบเช็คที่จำเลยที่ ๒ เป็นผู้สั่งจ่ายแล้วแต่ยังไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ ๑ ให้นายมงคลนำไปเป็นประกันการชำระค่าเช่าซื้อต่อโจทก์ต่อมามีการประทับตราปลอมเป็นเช็คของจำเลยที่ ๑ ขึ้น จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คของจำเลยที่ ๒ มิใช่เช็คของจำเลยที่ ๑ และตราที่ประทับในช่องผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทมิใช่ตราของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐานะที่จำเลยที่ ๒ เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๕๐๐ บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า คำฟ้องของโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทต้องรับผิต่อโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทรับผิดต่อโจทก์เช่นนั้นไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ ๑ ได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คของจำเลยที่ ๒ เอง เพื่อค้ำประกันนายมงคล อินดี ผู้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ส่วนตราที่ประทับไว้ในช่องผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทฟังไม่ได้ว่าเป็นตราของห้างจำเลยที่ ๑ จึงเท่ากับจำเลยที่ ๒ สั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยไม่มีตราของห้างจำเลยที่ ๑ ประทับ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกว่า จำเลยที่ ๒จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คหรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๙๐๐ บัญญัติว่า บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องและทางพิจารณาฟังได้ว่า ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยที่ ๒ ย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนับแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๗ ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นเป็นต้นไป ส่วนปัญหาที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทรับผิดต่อโจทก์เช่นนั้นเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็ค โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและประทับตราของห้างจำเลยที่ ๑ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายด้วยมิใช่ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ ๑ แต่สถานเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ตราที่ประทับไว้ในช่องผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเป็นตราของจำเลยที่ ๑ ก็บังคับให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ให้โจทก์ในฐานะผู้สั่งจ่ายได้ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทแต่ผู้เดียวรับผิดต่อโจทก์ชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนับแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๗ ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นเป็นต้นไป ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ด้วยนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.

Share