คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4557/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินซึ่งศาลพิพากษาให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางส่วนให้โจทก์ไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 2นั้น การจำนองมิใช่เป็นการย้ายไปเสีย หรือเป็นการซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350, 83 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางส่วนให้โจทก์ไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 2 นั้น เป็นการย้ายไปเสียตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 อันจะทำให้การกระทำของจำเลยทั้งสองมีมูลในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 บัญญัติว่า “ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ย้ายไปเสียซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี ต้องระวางโทษจำคุก” บทบัญญัติของมาตรานี้มีความหมายว่าจะต้องเป็นการกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามลักษณะแห่งการกระทำดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้โดยเฉพาะ คือ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เท่านั้น การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินตามฟ้องไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 2ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการย้ายไปเสียซึ่งทรัพย์ใดหรือเป็นการซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share