แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ไปทวงเงิน 2,500 บาท คืนจากจำเลย จำเลยด่าโจทก์ซึ่งเป็นมารดาว่า “อีสำเพ็ง อีหัวหงอก กูไม่ให้ อยากได้ให้ไปฟ้องร้องเอา” การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 531(2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณโจทก์ชอบที่จะเรียกถอนคืนการให้ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลย เมื่อ พ.ศ. 2518 โจทก์และนายดำ ปลั่งกลาง สามีโจทก์ได้ยกที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 173ปัจจุบันมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ให้แก่จำเลย และเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2529 โจทก์ได้ยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1440 ให้แก่จำเลยอีก ต่อมาเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2531 จำเลยได้ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ด้วยการบอกปัดไม่ยอมให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ในขณะที่โจทก์ตกเป็นผู้ยากไร้และจำเลยสามารถจะให้ได้ นอกจากนี้เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2531 จำเลยได้หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1620 เฉพาะส่วนของโจทก์ครึ่งหนึ่งและเลขที่ 1440หมู่ที่ 2 ตำบลใหม่ อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษาหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยหมิ่นประมาทโจทก์และไม่เคยบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นสำหรับเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ โจทก์มิใช่ผู้ยากไร้ และโจทก์ยกที่ดินให้จำเลยตามหน้าที่ธรรมจรรยาของมารดาไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1620 และให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1440 ตามฟ้องให้โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาในข้อแรกว่า จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า เมื่อเดือนเจ็ด พ.ศ. 2531 โจทก์ไปทวงเงิน 2,400 บาทคืนจากจำเลย จำเลยไม่ยอมคืนและด่าว่า “อีสำเพ็ง อีหัวหงอก กูไม่ให้อยากจะได้ให้ไปฟ้องร้องเอา” เห็นว่า ถ้าจำเลยด่าโจทก์ผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำดังกล่าวจริง การกระทำของจำเลยก็ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณที่โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยได้ ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยไม่ได้ด่าโจทก์ เหตุที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เนื่องจากไม่พอใจที่จำเลยตีเด็กชายสุทินบุตรของนางม่วงเพราะเด็กชายสุทินไปลักทรัพย์ของคนอื่นนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นบุตรของโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน หากจำเลยไม่ได้ด่าโจทก์แล้วโจทก์คงไม่ปรักปรำจำเลย และลำพังเพียงจำเลยตีหลานโจทก์เพราะไปลักทรัพย์ของคนอื่น โจทก์ก็ไม่น่าจะโกรธถึงขนาดฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุตรเป็นคดีนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ไปทวงเงิน 2,400 บาทคืนจากจำเลย จำเลยไม่ยอมคืนแล้วด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำดังที่โจทก์เบิกความจริง การกระทำของจำเลยเป็นการประพฤติเนรคุณโจทก์ตามบทกฎหมายที่กล่าวแล้ว โจทก์เรียกที่ดินที่ยกให้คืนได้คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และจำเลยยังสามารถจะให้ได้หรือไม่ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.