คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 649/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จเพื่อแสดงว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยที่ 1 และยังได้เบิกความเท็จอีกว่าโจทก์ได้พักอยู่กับจำเลยที่ 2 โจทก์ได้บอกจำเลยที่ 2 ว่าไปบ้านยางสินไชยได้เงินมา 1,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้น่าเชื่อว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยที่ 1 จริงข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความต่อศาลในการพิจารณานั้นจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องเรียกเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม 2503 ถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2505 จำเลยบังอาจปลอมเอกสารสิทธิสัญญากู้ว่าโจทก์กู้เงินจำเลยที่ 1 จำนวน 1,000 บาท โดยโจทก์ไม่เคยกู้เงินจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 นำเอกสารนี้ยื่นฟ้องต่อศาลว่าโจทก์กู้เงินจำเลยที่ 2, 3, 4 เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาต่อศาลว่าโจทก์ทำสัญญากู้ให้แก่จำเลยที่ 1 จริง เป็นข้อสำคัญในคดี ส่วน จำเลยที่ 2 เบิกความอันเป็นข้อสำคัญในคดีและเป็นเท็จว่า ระหว่าง “วันที่ 20 ถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2500 จำเลยที่ 2 กับโจทก์ได้ไปพักที่โรงเรียนมัธยมสามัญอำเภออาจสามารถด้วยกัน วันที่ 25 ตุลาคม2500 เวลา 16.10 นาฬิกา โจทก์ได้บอกจำเลยที่ 2 ว่า วันนี้จะไม่ไปนอนด้วย จะไปหาเงินที่บ้านยางสินไชย ขอให้จำเลยดูของให้ด้วยเที่ยงวันที่ 25 ตุลาคม 2500 โจทก์ก็เล่าให้จำเลยที่ 2 ฟังว่า ได้เงินมา 1,000 บาท” ซึ่งความจริงโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่เคยพักด้วยกันที่โรงเรียนในวันดังกล่าว ไม่เคยบอกว่าจะไปหาเงินบ้านยางสินไชย ฯลฯ ดังคำเบิกความของจำเลยที่ 2

ก่อนไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นประทับฟ้องและพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 180, 177 ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 265, 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี จำเลยที่ 2 ที่ 4 มีความผิดตามมาตรา 177 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 4 เดือน

จำเลยที่ 1, 2 และ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 177 และ 180 แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 268, 265 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1, 2, 4 ฎีกา แต่ศาลฎีกาสั่งรับเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อ 2(2) ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี

ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า น่าเชื่อว่าโจทก์มิได้ทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 นั้นกับจำเลยที่ 1 หากแต่ทำสัญญากู้ดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2503 และมีการแก้เลข 3 ใน พ.ศ. 2503 เป็นเลข 0 สำหรับเงินที่โจทก์ยืมจำเลยที่ 2 ไปนั้น โจทก์ได้ชำระให้แล้ว แต่จำเลยที่ 2 มิได้คืนสัญญากู้ให้โจทก์ เอกสารสัญญากู้ จ.1 นั้น จำเลยที่ 1 ได้นำไปเป็นหลักฐานในการฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 3/2506 ของศาลชั้นต้น และอ้างว่าเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีด้วยศาลจังหวัดร้อยเอ็ดพิจารณาคดีแล้วเห็นว่า เอกสารนี้มีรอยลบและเขียนใหม่ตรงเลข “0” ไม่เชื่อว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ข้อความที่ จำเลยที่ 2 เบิกความในการพิจารณาคดีของศาลจังหวัดร้อยเอ็ดตามที่โจทก์ฟ้องนั้นเป็นความเท็จ กล่าวคือ ตามความจริงนั้นในคืนระหว่างวันที่ 20-25 ตุลาคม 2500 โจทก์ไม่เคยพักร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่โรงเรียน ในวันที่ 24 ตุลาคม 2500 โจทก์ไม่ได้บอกจำเลยที่ 2 ว่าได้เงินมา 1,000 บาท

ในประเด็นที่ว่า ข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยที่ 2 เบิกความในการพิจารณาต่อศาลเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จเพื่อแสดงว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยที่ 1 และว่าโจทก์ได้พักอยู่กับจำเลยที่ 2 โจทก์ได้บอกจำเลยที่ 2 ว่า ไปบ้านยางสินไชยได้เงินมา 1,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้น่าเชื่อว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยที่ 1 จริงข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องเรียกเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้ จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามมาตรา 177 ประมวลกฎหมายอาญา ที่โจทก์ฟ้อง และเมื่อพิจารณาถึงว่าจำเลยที่ 2 ไม่คืนหนังสือสัญญากู้เงินให้โจทก์เมื่อได้ชำระหนี้แล้วอันเป็นเหตุให้หนังสือสัญญานั้นถูกปลอมแปลง และเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 นำหนังสือสัญญาที่ปลอมนั้นมาฟ้องโจทก์ จึงเห็นว่าไม่สมควรรอการลงโทษจำเลยที่ 2

พิพากษายืน

Share