คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สินเดิมของผู้ร้องจะเป็นสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากัน โจทก์ก็หามีสิทธินำยึดเพื่อขายทอดตลาด เอาเงินชำระหนี้ได้เสมอไปไม่ โจทก์จะนำยึดเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้ก็ต่อเมื่อหนี้ตามคำพิพากษานั้นเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 (อ้างฎีกาที่ 1792/2492, 1250/2493, 1059/2495, 460/2507)

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญากู้เงิน ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมใช้เงินให้โจทก์ แต่จำเลยผิดนัด โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่นาโฉนดที่ ๖๓๘๙,๖๔๙๗,๗๕๘๗,๕๖๕๐ ผู้ร้องร้องว่า ผู้ร้องยื่นฟ้องจำเลยไว้ต่อศาลชั้นต้น ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๑๗/๒๕๐๒ เรื่องขอหย่า ขอแบ่งทรัพย์ที่นาพิพาททั้ง ๔ แปลงเป็นสินเดิมของผู้ร้อง โจทก์จำเลยสมคบกันฉ้อโกงผู้ร้อง โดยหนี้สินที่โจทก์ฟ้องนั้นไม่ได้มีกันจริง ขอให้ศาลสั่งปล่อยการยึด
โจทก์คัดค้านว่า ที่นาพิพาท ๔ แปลง เป็นสินบริคณห์ของจำเลยกับผู้ร้อง ผู้ร้องรู้เห็นยินยอมในการกู้เงินของโจทก์รายนี้ ทั้งเป็นหนี้ที่จำเลยกับผู้ร้องกู้เอาไปค้าขาย และใช้จ่ายในครอบครัว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า หนี้รายนี้จำเลยซึ่งเป็นสามีผู้ร้องได้กู้เงินโจทก์ไปก่อนที่ผู้ร้องจะฟ้องขอหย่ากับจำเลย ชอบที่ผู้ร้องจะร้องขอต่อศาลให้กันส่วนได้ของตน ไม่ชอบที่จะร้องขัดทรัพย์ จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องเป็นภริยาจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย ทรัพย์รายที่ถูกยึดเป็นสินบริคณห์ในฐานะที่เป็นสินเดิมของผู้ร้อง หาใช่เป็นสินบริคณห์ในฐานะที่เป็นสินสมรสไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้สั่งปล่อยการยึด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า นาพิพาททั้ง ๔ โฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องก่อนจดทะเบียนกับจำเลย จึงเป็นสินเดิมของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นว่าแม้สินเดิมของผู้ร้องดังกล่าวจะเป็นสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๒ ด้วย โจทก์ก็หามีสิทธินำยึดเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้เสมอไปไม่ โจทก์จะนำยึดขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้ต่อเมื่อหนี้ตามคำพิพากษานั้นเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘๒ หากเป็นหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นเป็นส่วนตัวฝ่ายเดียวแล้ว โจทก์หามีสิทธินำยึดไม่ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๙๒/๒๔๙๒, ๑๒๕๐/๒๔๙๓, ๑๐๕๙/๒๔๙๕, ๔๖๐/๒๕๐๗ ส่วนข้อเท็จจริงนั้นก็ฟังไม่ได้ว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง และผู้ร้องได้ร่วมกับจำเลยไปกู้เงินโจทก์
พิพากษายืน.

Share