แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นคดีแพ่งฐานละเมิดสิทธิของโจทก์ในตึกแถวพิพาท ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตึกแถวพิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีแพ่งดังกล่าวย่อมต้องผูกพันตามผลของคำพิพากษามิให้โต้เถียงเป็นอย่างอื่น ส่วนจำเลยที่ 2 แม้จะเป็นบุคคลภายนอกในคดีนั้นแต่ก็ให้การต่อสู้ในคดีนี้ว่าตึกแถวพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ได้อ้างว่าเป็นของตน จึงไม่ได้พิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าโจทก์อย่างไร ผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทย่อมใช้ยันจำเลยที่ 2ได้เช่นกัน
ในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกในความผิดฐานแจ้งความเท็จและบุกรุกตึกแถวพิพาทในคดีนี้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนากระทำความผิด ไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดถึงกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาท จึงนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 มาใช้บังคับเพื่อให้ศาลในคดีแพ่งฟังข้อเท็จจริงว่าตึกแถวพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากตึกแถวของโจทก์และให้ใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า เกี่ยวกับตึกแถวพิพาทศาลฎีกาเคยพิพากษาคดีส่วนอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาแจ้งความเท็จและบุกรุกว่าจำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานบุกรุก จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิครอบครองตึกแถวพิพาท ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไปและคดีขาดอายุความ
วันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยชี้ขาดได้แล้วจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากตึกแถวพิพาทให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ก่อนฟ้องเดือนละ ๑,๕๐๐ บาทรวม ๑๒ เดือน เป็นเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์อีกเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากตึกแถวพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๖๔๙-๕๖๕๐/๒๕๑๖ ของศาลแพ่ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า คำฟ้องโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ในชั้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๙-๒๘๐/๒๕๑๙ ที่โจทก์อ้างนั้น เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ กับนายบรรจบเป็นคดีแพ่งฐานละเมิดสิทธิของโจทก์ในตึกแถวพิพาทรายเดียวกันนี้ และศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าตึกแถวพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่ความในคดีแพ่งดังกล่าวย่อมต้องผูกพันตามผลของคำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้าง ส่วนจำเลยที่ ๒ แม้จะเป็นบุคคลภายนอกในคดีนั้นแต่ก็ให้การต่อสู้ในคดีนี้ว่าตึกแถวพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้อ้างว่าเป็นของตน จึงไม่ได้พิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าโจทก์อย่างไร ผลแห่งคำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทดังกล่าวย่อมใช้ยันจำเลยที่ ๒ ได้เช่นเดียวกันส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๓๗/๒๕๑๙ ที่จำเลยทั้งสองอ้างมาเป็นคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้กับพวกข้อหาแจ้งความเท็จ และบุกรุกตึกแถวพิพาทรายเดียวกัน คดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำลเยทั้งสองกับพวกมิได้มีเจตนากระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง มิได้วินิจฉัยชี้ขาดถึงกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทว่าเป็นของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้
พิพากษายืน