แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อศาลพิพากษาให้บุคคลใดตกเป็นบุคคลล้มละลายแล้วตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งยกเลิกการล้มละลาย บุคคลนั้นย่อมไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตนได้ เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาลเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้จัดการทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 24ถ้าฝ่าฝืนนิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะ คำว่าผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 133 เดิม (มาตรา 172 ใหม่) หมายถึงผู้ที่จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ หากนิติกรรมที่กล่าวอ้างว่าเป็นโมฆะเป็นผลหรือไม่เป็นหรือกลับกัน เมื่อโจทก์ทั้งสี่ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าบิดาโจทก์ทั้งสี่ซื้อที่ดินพิพาทมาจาก ส.ผู้ล้มละลาย ต่อมาบิดาโจทก์ทั้งสี่ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสี่ และจำเลยให้การต่อสู้ว่าบิดาโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก ส.ขณะที่ส. เป็นบุคคลล้มละลาย นิติกรรมซื้อขายเป็นโมฆะโจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ดังนี้จำเลยจึงเป็นผู้ที่จะได้ประโยชน์จากที่นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างส. กับบิดาโจทก์ทั้งสี่เป็นโมฆะจำเลยจึงชอบที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นอ้างได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นทายาทของหลวงทวยหาญนิติกรมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2515 หลวงทวยหาญนิติกรม ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 30012 จากนางสมศรีในราคา 250,000 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อายัด ทรัพย์สินของนางสมศรีไม่ให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ โดยอ้างว่านางสมศรีถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2506 แต่ต่อมาวันที่ 10ตุลาคม 2522 ศาลมีคำสั่งยกเลิกการเป็นบุคคลล้มละลายของนางสมศรีแล้วเมื่อประมาณปี 2516 จำเลยเข้าไปปลูกบ้านเลขที่ 456 และสิ่งปลูกสร้างอื่นลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 30012 โดยพลการ แต่หลวงทวยหาญนิติกรม ยังไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมายแก่จำเลยจนกระทั่งถึงแก่กรรม ที่ดินดังกล่าวตกทอดมายังโจทก์ทั้งสี่โจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่ดินดังกล่าวต่อไปขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 30012 เลขที่ดิน 303 ตำบลสำโรงเหนือ(สำโรงฝั่งใต้) อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่ในอัตราเดือนละ 8,000 บาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทมาจากบริษัทศรีสมิต จำกัด ตั้งแต่ปลายปี 2511หลังจากทำสัญญานั้นแล้วจำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยขุดบ่อ ถมดิน ปลูกต้นไม้ ล้อมรั้วและก่อสร้างบ้านในที่ดินจำเลยผ่อนชำระค่าที่ดินให้บริษัทศรีสมิต จำกัด ทุกเดือนจนถึงงวดที่ 19 เป็นเงินทั้งสิ้น 107,000 บาท จากนั้นบริษัทศรีสมิต จำกัด บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับเงินค่าที่ดินจากจำเลยจากการตรวจสอบทะเบียนโฉนดที่ดินพิพาท ปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวเดิมมีชื่อนายธรรมนูญเป็นเจ้าของ นายธรรมนูญโอนขายให้นางสมศรีเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2514 นางสมศรีจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทแก่นางอรุณและนางสาวบรรจงในวันเดียวกันนั้นมีกำหนดไถ่ภายใน 1 ปี ต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม 2515 นางสมศรีไถ่ที่ดินคืนจากนางอรุณและนางสาวบรรจงและจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้หลวงทวยหาญนิติกรมในวันเดียวกันนั้น นางสมศรีถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายอยู่ในขณะทำนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางสมศรีและหลวงทวยหาญนิติกรมเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 และ 24ตกเป็นโมฆะ โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้รับโอนจากหลวงทวยหาญนิติกรมจึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์ทั้งสี่ไม่เสียหายตามฟ้องจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทติดต่อกันมาด้วยความสงบเปิดเผย และโดยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่เป็นข้อแรกว่า โจทก์ทั้งสี่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางสมศรี สมิตศิริ กับหลวงทวยหาญนิติกรมไม่เป็นโมฆะ เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 24บัญญัติว่า “เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว ห้ามมิให้ลูกหนี้กระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตนเว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้จัดการทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ นี้” ดังนั้นเมื่อนางสมศรีถูกศาลแพ่งพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายนั้น นางสมศรีย่อมไม่มีอำนาจกระทำนิติกรรมใด ๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของนางสมศรี เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้จัดการทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 เมื่อไม่ปรากฏว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทที่นางสมศรีทำกับหลวงทวยหาญนิติกรม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2515อันเป็นเวลาก่อนที่ศาลแพ่งมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายนั้นได้กระทำไปตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้จัดการทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทนั้นจึงเป็นนิติกรรมที่กระทำไปโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 24 เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ใหม่)หลวงทวยหาญนิติกรมจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทไม่เป็นทรัพย์มรดกของหลวงทวยหาญนิติกรม โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของหลวงทวยหาญนิติกรมจึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่โจทก์ทั้งสี่ฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างได้หรือไม่ ในปัญหานี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 133 เดิม(มาตรา 172 ใหม่) ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยยื่นคำให้การบัญญัติว่า “อันความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมนั้น ท่านว่าบุคคลผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะกล่าวอ้างขึ้นก็ได้” ผู้มีส่วนได้เสียที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างได้นั้น หมายถึงผู้ที่จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์หากนิติกรรมที่กล่าวอ้างว่าเป็นโมฆะเป็นผล หรือไม่เป็น หรือกลับกัน คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่า หลวงทวยหาญนิติกรมบิดาของโจทก์ทั้งสี่ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนางสมศรี ต่อมาหลวงทวยหาญนิติกรมถึงแก่กรรมและที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสี่จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทมาจากบริษัทศรีสมิต จำกัด ก่อนหลวงทวยหาญนิติกรมซื้อที่ดินพิพาทจากนางสมศรี แล้วจำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา หลวงทวยหาญนิติกรมซื้อที่ดินพิพาทจากนางสมศรีขณะที่นางสมศรีเป็นบุคคลล้มละลาย นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท ระหว่างนางสมศรีและหลวงทวยหาญนิติกรมเป็นโมฆะโจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย จึงเห็นได้ว่า หากนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางสมศรีและหลวงทวยหาญนิติกรมเป็นโมฆะโจทก์ทั้งสี่ก็ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาทแต่หากนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทนั้นมีผลสมบูรณ์โจทก์ทั้งสี่ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยจึงเป็นผู้ที่จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากการที่นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางสมศรีและหลวงทวยหาญนิติกรมเป็นโมฆะชอบที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมนั้นขึ้นกล่าวอ้างได้ฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน และเมื่อได้วินิจฉัยเช่นนี้แล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งสี่อีกต่อไปที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้พิพากษาให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โดยการครอบครองปรปักษ์นั้น จำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงไม่อาจฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาเช่นนั้นได้ สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลยนั้นเมื่อได้วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยต่อไป”
พิพากษายืน