คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3068/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาบุกรุกที่พิพาทในคดีนี้ โจทก์เป็นผู้เสียหายและพยาน ถือได้ว่าคดีนี้เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว ในคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ศาลซึ่งพิพากษาคดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
จำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อน เมื่อที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จำเลยหรือผู้ใดย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง แต่ผู้ใดครอบครองอยู่ผู้นั้นย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่นเมื่อจำเลยครอบครองอยู่ จำเลยย่อมมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือสำคัญแบบหมายเลข 3 จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างในที่ดินดังกล่าว ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่จำเลยครอบครองมานานแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 108/2518 ของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หากเสียหายก็ไม่เกินเดือนละ 20 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1718/2520 ของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นโจทก์ฟ้องนายสำเริง (จำเลยในคดีนี้) เป็นจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวในข้อหาบุกรุกที่พิพาทแปลงเดียวกับที่พิพาทในคดีนี้ และในคดีอาญาดังกล่าวโจทก์ในคดีนี้เป็นผู้เสียหายและพยาน ถือได้ว่าคดีนี้เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว และคดีอาญาดังกล่าวศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีถึงที่สุดแล้ว โดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทในคดีอาญาดังกล่าวเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่า ที่พิพาทในคดีอาญาดังกล่าวซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่พิพาทในคดีนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ส่วนปัญหาที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น จากคำเบิกความของโจทก์ปรากฏว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่โดยครอบครองมาอย่างน้อยตั้งแต่ พ.ศ. 2513 เมื่อที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 โจทก์จำเลยหรือผู้ใดย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง แต่ผู้ใดครอบครองอยู่ผู้นั้นย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่น เมื่อจำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่จำเลยย่อมมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share