คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3067/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมของจำเลยเป็นการปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 มิใช่เป็นการชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิรับเงินดังกล่าวไป

ย่อยาว

คดีนี้เดินศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน7,000,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยด้วยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 2,896,249.80 บาทตามที่โจทก์ขอ หากจำเลยไม่ชำระ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5852ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 60,000 บาท จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับนำเงินค่าธรรมเนียมและค่าทนายความที่ต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลจำนวน 260,655 บาท
ต่อมาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 1โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยวางศาลไว้เพื่อใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอ้างว่าเป็นเงินที่จำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยวางเงินดังกล่าวเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ มิได้วางเพื่อชำระให้โจทก์ ในชั้นนี้โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิรับไปโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ โจทก์จะขอรับเงินดังกล่าวนั้นไปได้เลยหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมของจำเลยเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 หาใช่เป็นการชำระหนี้ให้โจทก์ไม่ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิรับเงินดังกล่าวไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share