คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

รถของผู้เสียหายไป พบอยู่ในความครอบครองของจำเลย พบรอยขูดลบเลขหมายประจำเครื่องยนต์มีการตัดต่อเชื่อมบริเวณหมายเลขประจำคัสซี กับมีป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนปลอมซึ่งมีรอยลบสีของตัวรถติดอยู่ ส่วนแผ่นป้ายทะเบียนเป็นของรถคันอื่น เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจสอบหลักฐานการใช้รถ จำเลยไม่ได้หลบหนีและนำเอกสารมาให้ตรวจสอบโดยดี ทั้งแจ้งว่าขอยืมรถมาจาก จ. โดยไม่มีข้อพิรุธ แสดงว่าจำเลยรับรถไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์จึงไม่มีความผิดฐานรับของโจร และการที่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่มีการปลอมแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียน การที่รถที่จำเลยครอบครองมีเอกสารดังกล่าวไว้ จะถือว่าจำเลยใช้หรืออ้างเอกสารปลอมไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91, 264, 265, 268, 335, 357 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11ริบแผ่นป้ายวงกลม สำเนาใบคู่มือจดทะเบียนและกุญแจของกลาง ส่วนแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์คืนแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 และมาตรา 357 วรรคแรกประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมจำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันรับของโจรจำคุกคนละ 5 ปี รวมจำคุกคนละ 7 ปี ริบแผ่นป้ายวงกลม สำเนาใบคู่มือจดทะเบียนและกุญแจของกลาง คืนแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์แก่เจ้าของคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานรับของโจรและใช้เอกสารราชการปลอมเสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบและจำเลยมิได้นำสืบโต้เถียงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน2531 ได้มีคนร้ายลักรถยนต์ปิกอัพยี่ห้อโตโยต้าสีขาว หมายเลขทะเบียน ม-2724 กาญจนบุรี ของผู้เสียหายไป ครั้นวันที่ 7 ธันวาคม2531 เวลาประมาณ 12 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจพบจำเลยที่ 1 ครอบครองรถยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปดังกล่าว โดยมีป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนของรถยนต์หมายเลขทะเบียนม-2781 เชียงใหม่ แต่แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนช่องที่ระบุสีของรถมีรอยลบและเติมคำว่า “ขาว”ลงไป อันเป็นเอกสารราชการปลอม เจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดรถยนต์พร้อมเอกสารประจำรถยนต์ดังกล่าวไปตรวจสอบ ปรากฏว่าแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและแผ่นป้ายทะเบียนที่ติดอยู่กับรถของผู้เสียหายเป็นของบริษัทนิยมพานิช จำกัด ให้นายทองย่อน ตามควร ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เช่าซื้อไปแต่รถยนต์คันที่นายทองหย่อนเช่าซื้อ สีน้ำเงิน ยังอยู่ในความครอบครองของบุตรสาวนายทองย่อนที่จังหวัดเชียงใหม่ รถยนต์ของผู้เสียหายมีรอยขูดลบเลขหมายประจำเครื่องยนต์ และมีการตัดต่อเชื่อมบริเวณเลขหมายประจำคัสซี ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.8 วันที่ 14 ธันวาคม 2531เจ้าพนักงานตำรวจจึงเชิญตัวจำเลยทั้งสองไปสถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดีนี้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดฐานรับของโจรและใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่ คงได้ความจากจ่าสิบตำรวจสมควร พยานผู้พบการกระทำความผิดและร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองว่าพบรถคันเกิดเหตุติดแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีปลอมจอดอยู่ริมถนน หน้าโรงเรียนฝึกอาชีพ กรุงเทพมหานคร (บางรัก)พยานรอจนจำเลยทั้งสองมาขึ้นรถแล้วขอดูหลักฐานในการใช้รถ จำเลยที่ 1 ก็แสดงสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนปลอม เมื่อพยานสอบถามถึงเจ้าของรถ จำเลยที่ 1 ก็ว่าเป็นรถของนายจรัญ ทองโสภณ น้องของสามีจำเลยที่ 2 พยานจึงเชิญตัวจำเลยทั้งสองไปให้ถ้อยคำไว้แล้วปล่อยตัวไปร้อยตำรวจโทสุทิน ทรัพย์พ่วง พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า ขอยืมรถคันเกิดเหตุมาจากนายจรัญทองโสภณ พยานได้สอบสวนนายจรัญแล้ว นายจรัญอ้างว่านายเกรียงไกร ทองประไพ หุ้นส่วนร้านอาหารที่นายจรัญทำงานอยู่มอบรถไว้ใช้ในกิจการของร้านอาหารก่อนจำเลยทั้งสองถูกจับประมาณ15 วัน พยานได้ออกหมายจับนายเกรียงไกรไว้แล้ว เห็นว่า จ่าสิบตำรวจสมควรพบรถคันเกิดเหตุจอดอยู่ข้างถนนสาธารณะในลักษณะเปิดเผยใกล้สถานีตำรวจนครบาลยานนาวาประมาณ 100 เมตร ครั้นจ่าสิบตำรวจสมควรขอตรวจสอบหลักฐานในการใช้รถ จำเลยทั้งสองไม่ได้แสดงอาการที่จะหลบหนีและนำเอกสารประจำรถมาให้ตรวจสอบโดยดี ทั้งได้แจ้งให้ทราบถึงที่มาของรถคันดังกล่าวให้พนักงานสอบสวนปากคำนายจรัญไว้ด้วยโดยไม่มีพิรุธอย่างใด เมื่อพนักงานสอบสวนคืนรถคันเกิดเหตุให้ผู้เสียหายจำเลยทั้งสองก็มิได้โต้แย้ง และจำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 ขอยืมรถจากนายจรัญไปต่างจังหวัด โดยขอแรงจำเลยที่ 1 ช่วยขับให้ โดยจำเลยทั้งสองไม่รู้ว่าเป็นรถที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้รับรถยนต์คันเกิดเหตุไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจร ส่วนข้อหาร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมนั้น ได้ความจากคำของจ่าสิบตำรวจสมควรว่า ขณะพบจำเลยทั้งสองครอบครองรถติดแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีปลอม จำเลยทั้งสองบอกว่า ยืมรถมาจากนายจรัญ ร้อยตำรวจโทสุทินพนักงานสอบสวนก็เบิกความว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองยืนยันเช่นเดิมจึงได้สอบปากคำนายจรัญไว้ เมื่อได้ความว่านายเกรียงไกรเป็นผู้นำรถคันเกิดเหตุมาให้นายจรัญใช้ในกิจการร้านอาหาร จึงได้ออกหมายจับนายเกรียงไกร แต่ไม่ได้ตัวมาดำเนินคดี จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดมา ตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นพิจารณาว่ายืมรถมาจากนายจรัญ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่า รถคันเกิดเหตุเป็นรถที่มีการทำปลอมแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนไว้ การที่เจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบรถยนต์ที่จำเลยทั้งสองครอบครองอยู่มีเอกสารดังกล่าวไว้จะถือว่าจำเลยทั้งสองใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอมไม่ได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานรับของโจรและใช้เอกสารราชการปลอมนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น สำหรับกุญแจของกลางนั้นโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เป็นทรัพย์ที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบกุญแจของกลาง”
พิพากษายืน เว้นแต่กุญแจของกลางให้คืนแก่เจ้าของ

Share