แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทำรายงานสรุปยอดเพื่อแสดงรายรับรายจ่ายให้ทราบผลกำไรขาดทุนต่อฝ่ายโจทก์กับฝ่าย ต. เท่านั้น มิใช่เพื่อให้เป็นหลักฐานทางบัญชีหรืองบดุลของบริษัท จึงไม่จำเป็นต้องลงรายการกู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นแหล่งที่มาของการนำเงินมาเป็นรายจ่ายด้วยรายงานดังกล่าวมิใช่ข้อความสำคัญในเอกสารรายการสรุปยอดของบริษัท แม้จำเลยจะมิได้ลงไว้ ก็ไม่มีความผิดฐานไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของบริษัท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นปี 2538 จำเลยทั้งสองชักชวนโจทก์และนายตรีกูล โสภณศิริ เข้าเป็นหุ้นส่วนในบริษัทพฤศจิกา จำกัดโดยกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทคือจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทหรือจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อร่วมกับนายตรีกูลและประทับตราสำคัญของบริษัท ผู้ถือหุ้นมอบหมายให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่รับจ่าย เก็บรักษาเงิน และอื่น ๆ ส่วนจำเลยที่ 2มีหน้าที่จัดทำกับรับผิดชอบด้านการบัญชีและเอกสารอื่น ๆ รวมทั้งรับจ่ายเก็บรักษาเงินร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยตกลงให้ใช้บัญชีเงินฝากในนามของบริษัทที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาอินทรารักษ์ ต่อมาจำเลยทั้งสองร่วมกันทำเอกสารบัญชีแสดงยอดสรุปผลประกอบการของบริษัทพฤศจิกา จำกัด ประจำงวดเดือนมีนาคม 2538 ถึงเดือนพฤศจิกายน2538 ต่อโจทก์และผู้ถือหุ้นอื่นว่า บริษัทขาดทุนจำนวน 987,509.41 บาทโดยปกปิดไม่ลงรายการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำสัญญากู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีในนามของบริษัท จากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)สาขาอินทรารักษ์ และยอมให้ธนาคารหักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากของบริษัทที่เปิดไว้ที่ธนาคาร อันเป็นข้อความสำคัญในเอกสารและบัญชีของบริษัทเป็นการลวงให้โจทก์ บริษัทพฤศจิกา จำกัด และผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้และจำเลยทั้งสองร่วมกันเบียดบังเอาเงินที่ได้จากการกู้และเบิกเงินเกินบัญชีไปเป็นประโยชน์ของตน ธนาคารได้หักชำระหนี้จากบัญชีของบริษัททำให้บริษัทขาดทุนทำให้โจทก์ บริษัทพฤศจิกา จำกัด และผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัดสมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อต้นปี 2538โจทก์กับนายภูษิต ภานุภาพ ฝ่ายหนึ่งกับจำเลยทั้งสองอีกฝ่ายหนึ่งเข้าหุ้นกันทำธุรกิจส่งผักสดให้แก่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในนามบริษัทพฤศจิกา จำกัด มีระยะเวลาตั้งแต่กลางเดือนมกราคม2538 ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2538 เมื่อครบกำหนดสัญญาได้ชวนนายตรีกูล โสภณศิริ เข้าร่วมหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งทำธุรกิจนี้ต่อไปโดยลงทุนเป็นเงินจำนวนฝ่ายละ 1,000,000 บาท แล้วจดทะเบียนเพิ่มทุนและเปลี่ยนแปลงกรรมการให้โจทก์กับจำเลยทั้งสองและนายตรีกูลเป็นกรรมการของบริษัทผู้มีอำนาจกระทำการในนามบริษัทคือจำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท หรือจำเลยที่ 2 กับนายตรีกูลลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่รับจ่ายและเก็บรักษาเงิน จำเลยที่ 2มีหน้าที่จัดทำบัญชีและเอกสารอื่น ๆ บริษัทพฤศจิกา จำกัด ประมูลส่งผักสดให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งต่อไปได้ มีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2538 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2538 ตามสัญญาซื้อขายอาหารและวัตถุดิบภายในประเทศจำเลยทั้งสองร่วมกันทำสัญญากู้เงินและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาอินทรารักษ์ในนามบริษัทพฤศจิกา จำกัด 4 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2538 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน2,000,000 บาท วันที่ 8 กันยายน 2538 ทำสัญญากู้เงินจำนวน1,000,000 บาท วันที่ 13 กันยายน 2538 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 500,000 บาท และวันที่ 14 ธันวาคม 2538 ทำสัญญากู้เงินจำนวน 1,000,000 บาท โดยยอมให้หักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากของบริษัทพฤศจิกา จำกัด ที่เปิดไว้ที่ธนาคารดังกล่าวมีการรับเงินที่กู้กับเบิกเงินเกินบัญชีไป และธนาคารหักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากแล้วต่อมาวันที่ 19 มีนาคม 2539 จำเลยทั้งสองร่วมกันทำรายงานสรุปยอดโดยไม่ได้ลงรายการกู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวไว้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่ารายงานสรุปยอดเป็นหลักฐานทางบัญชีของบริษัทเสมือนเป็นงบดุล มิใช่หลักฐานที่ทำขึ้นเพื่อให้ผู้ถือหุ้นทราบถึงค่าใช้จ่ายและผลกำไรขาดทุน จึงต้องลงรายการกู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีด้วยนั้นเห็นว่า นายภูษิต ภานุภาพ พยานโจทก์เองเบิกความว่า เมื่อสิ้นระยะการดำเนินกิจการตามสัญญาแล้ว ยังไม่มีการแบ่งผลกำไรกัน พยานกับนายตรีกูลแจ้งให้ฝ่ายจำเลยส่งบัญชีกำไรขาดทุน จำเลยทั้งสองจึงทำรายงานสรุปยอดซึ่งเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยทั้งสองที่มีนายตรีกูล โสภณศิริเบิกความสนับสนุนว่าจำเลยทั้งสองทำรายงานสรุปยอดเพื่อทราบผลกำไรขาดทุนของการดำเนินกิจการตามสัญญาเท่านั้น ที่โจทก์ฎีกาว่านายตรีกูลเบิกความช่วยเหลือจำเลยทั้งสองนั้นเห็นว่า นายตรีกูลเบิกความสอดคล้องกับพยานเอกสาร ไม่มีพิรุธว่าจะช่วยเหลือจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยทั้งสองทำรายงานสรุปยอด เพื่อแสดงรายรับรายจ่ายให้ทราบผลกำไรขาดทุนต่อฝ่ายโจทก์กับฝ่ายนายตรีกูลเท่านั้น มิใช่เพื่อให้เป็นหลักฐานทางบัญชีหรืองบดุลของบริษัท จึงไม่จำเป็นต้องลงรายการกู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นแหล่งที่มาของการนำเงินมาเป็นรายจ่ายด้วย รายการดังกล่าวมิใช่ข้อความสำคัญในเอกสารรายการสรุปยอดของบริษัท แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ลงไว้ ก็ไม่มีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน