คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วนั้น จะต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 27 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2506 ก็แต่เฉพาะกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจ เปลี่ยนโทษจำคุกหรือวิธีการเพื่อความปลอดภัย เป็นให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนบางประการเท่านั้น มิได้ห้ามคู่ความที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๓ ฉบับ ซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรซึ่งทำปลอมเลียนแบบ แล้วจำเลยใช้ธนบัตรปลอมดังกล่าวชำระหนี้ในการซื้อสินค้า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๔, ๒๔๕ และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๕ ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ ๑๗ ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ คงจำคุกจำเลย ๑ ปี แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นส่งจำเลยไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กมีกำหนดขั้นต่ำ ๑ ปี ขั้นสูง ๒ ปี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๑, ๓๒ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๙, ๑๐ ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนพิจารณาแล้ว พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีศาลขั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ๑ ปี แต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กมีกำหนดขั้นต่ำ ๑ ปี ขั้นสูง ๒ ปี ซึ่งไม่เกิน ๓ ปี คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๒๗(๒) แก้ไขโโยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๗ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกข้อกฎหมายในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ขึ้นพิจารณาอันเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์มาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔ ตามที่แก้ไขซึ่งบัญญัติว่า “คดีที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษา หรือมีคำสั่งแล้วนั้น ให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ได้เหมือนอย่างคดีธรรมดา ตามบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความเว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้
(๑) ฯลฯ
(๒) ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามมาตรา ๓๑ เว้นแต่ในกรณีที่การใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนนั้น เป็นการพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ส่งเด็กและเยาวชนไปเพื่อการกักและอบรมมีกำหนดระยะเวลากักและอบรมเกินสามปี
(๓) ฯลฯ”
ศาลฎีกาเห็นว่าตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว คดีที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วนั้น จะต้องห้ามอุทธรณ์ก็แต่เฉพาะกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจเปลี่ยนโทษจำคุก หรือวิธีการเพื่อความปลอดภัยเป็นให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนบางประการเท่านั้น มิได้ห้ามคู่ความที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ฉะนั้น เมื่อคดีนี้ศาลคดีเด็กและเยาวชนใช้ดุลพินิจให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กมีกำหนดขั้นต่ำ ๑ ปี ชั้นสูง ๒ ปี จำเลยจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ฎีกาโจทก์ในข้อนี้จึงตกไป
ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนได้พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยโดยตลอดแล้ว เชื่อว่าจำเลยไม่ทราบมาก่อนว่าธนบัตรของกลางเป็นธนบัตรปลอม ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share