คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216 นั้น ผู้มั่วสุมต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 โดยการมั่วสุมนั้นยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำการอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 แต่หากผู้นั้นกระทำการดังที่มาตรา 215 บัญญัติไว้ ก็จะมีความผิดทั้งมาตรา 215 และมาตรา 216 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท การที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ชุมนุมปราศรัยด้วยความสงบ ไม่มีพฤติการณ์ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง แสดงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 กับพวกมิได้มั่วสุมโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 216 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ , ๙๑ , ๒๑๕ , ๒๑๖ พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๒๔ , ๔๗
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ ๒ ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๖ จำคุกคนละ ๑ ปี และปรับคนละ ๔,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ , ๓๐ ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๖ ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๖ บัญญัติว่า “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา ๒๑๕ ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษจำคุก…” ส่วนมาตรา ๒๑๕ บัญญัติว่า “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุก…” เห็นว่า องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๖ นั้น ผู้มั่วสุมนั้นต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๕ โดยการมั่วสุมนั้นยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำการอันเป็นความผิดตามมาตรา ๒๑๕ แต่หากต่อมาผู้นั้นกระทำการดังที่มาตรา ๒๑๕ บัญญัติไว้ต่อไป ก็จะมีความผิดทั้งตามมาตรา ๒๑๕ และมาตรา ๒๑๖ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ กับพวกรวม ๑๐ คน ชุมนุมปราศรัยด้วยความสงบ ไม่มีพฤติการณ์ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๑๕ แสดงว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ กับพวก มิได้มั่วสุมโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๕ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๖ แม้เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๖ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share