แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านพิพาทปลูกในที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของโจทก์ขอศาลอนุญาตให้เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)กรณีเป็นเรื่องผู้ร้องสอดมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 58 วรรคหนึ่งคำร้องสอดของผู้ร้องสอดถือเป็นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจึงต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่าผู้ร้องสอดยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นแต่คำร้องสอดหาได้แสดงเช่นที่กล่าวมาแล้วไม่ จึงเป็นคำร้องสอดที่ไม่ชอบ ศาลไม่รับคำร้องสอด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 589 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2535 จำเลยได้เข้ามาอยู่อาศัยโดยปลูกบ้านเลขที่ 67/3 ลงบนที่ดินของโจทก์บางส่วน ต่อมาเมื่อต้นปี 2538โจทก์ประสงค์จะใช้ที่ดินดังกล่าวจึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายครอบครัวออกไปจากที่ดิน แต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำฟ้อง กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายครอบครัวและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของบ้านที่ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาท โดยผู้ร้องสอดได้ปลูกสร้างขึ้นด้วยความยินยอมของโจทก์นานนับสิบปีแล้ว การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอของโจทก์ย่อมกระทบกระเทือนต่อสิทธิอันชอบธรรมของผู้ร้องสอดโจทก์ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องขับไล่จำเลยหรือผู้ใดให้รื้อถอนบ้านพิพาทจึงร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 ขอให้ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเป็นคู่ความในคดีนี้ให้มีสิทธิหน้าที่เหมือนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต่างหาก และมีสิทธิที่จะยื่นคำให้การต่อสู้คดีตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำร้องสอดของผู้ร้องสอดเป็นการขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม จึงเสมือนเป็นคำฟ้องซึ่งจะต้องมีคำขอบังคับเข้ามาด้วย แต่คำร้องสอดของผู้ร้องสอดไม่มีคำขอบังคับ อันเป็นคำร้องสอดที่ไม่ชอบจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอด คืนค่าคำร้องให้ผู้ร้องสอด
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องสอดฎีกาว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 มิได้บัญญัติว่า คำร้องสอดต้องแสดงเนื้อหาและคำขอบังคับแต่อย่างใด โดยสภาพเมื่อศาลอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามแล้ว ผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิยื่นคำให้การแก้คดีได้ เห็นว่า ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดระบุไว้ชัดเจนว่าขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามด้วยความสมัครใจเองอ้างว่ายังมีสิทธิที่จะยื่นคำให้การต่อสู้คดีเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) กรณีเป็นเรื่องผู้ร้องสอดมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ดังนั้นคำร้องสอดของผู้ร้องสอดถือเป็นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่าผู้ร้องสอดยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น แต่คำร้องสอดหาได้แสดงเช่นที่กล่าวมาแล้วไม่จึงเป็นคำร้องสอดที่ไม่ชอบที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอดของผู้ร้องสอด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน