แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236  บัญญัติไว้ชัดว่า  ในกรณีที่การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์นั้น  เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ก็ดี  ให้คำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้นเป็นที่สุด
ฉะนั้นในคดีที่จำเลยขาดนัดพิจารณา  และศาลชั้นต้นไต่สวนสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่  เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำสั่งและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์  เพราะเห็นว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณานั้น  จึงเป็นคำสั่งที่ถึงที่สุด  โจทก์จะฎีกาอีกหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและทำการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว  แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนแล้ว  สั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลชั้นต้นสั่งว่า  คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา  ต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์สั่งว่า  คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา  ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบ มาตรา ๒๒๖ (๑)  ให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๒๓๖  บัญญัติไว้ชัดเจนว่า  ในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์นั้น  เมื่อผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง  และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คดี  หรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ก็ดี  ให้คำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้นเป็นที่สุด  กล่าวคือจะฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์นั้นไม่ได้  ฉะนั้นคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ที่สั่งยืนตามศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์  จึงเป็นคำสั่งถึงที่สุดตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๖  โจทก์จึงฎีกาคัดค้านศาลอุทธรณ์นั้นไม่ได้
จึงพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์

