คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3042/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นกำนันควบคุมตัว ด. กับ ม.และโจทก์ไว้ดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์แล้วได้ปล่อย ด. และ ม.ไป คงมอบตัวโจทก์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีเพียงคนเดียวจะถือว่าโจทก์ถูกดำเนินคดีเพราะการที่จำเลยที่ 1 ปล่อยตัว ด. และ ม.ไปไม่ได้ การที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการจะดำเนินคดีแก่โจทก์หรือไม่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเกี่ยวกับกระทำความผิดของโจทก์เองไม่เกี่ยวกับการปล่อยตัวบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด หากการปล่อยตัว ด. และ ม.ของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการผู้ที่ได้รับความเสียหายก็คือรัฐมิใช่โจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานมีตำแหน่งเป็นกำนัน มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนคดีอาญาและจับกุมควบคุมตัวผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2533 เวลากลางคืน จำเลยทั้งสามร่วมกันปล่อยตัวนายดอเลาะกับนายมะแอผู้ต้องหาซึ่งกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์แล้วแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ได้ร่วมกับผู้ต้องหาทั้งสองลักทรัพย์ ทำให้โจทก์ต้องถูกฟ้องเป็นคดีอาญาเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเป็นการร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ กับจำเลยทั้งสามได้เบิกความในคดีอาญาว่า โจทก์เป็นคนร้ายและกระทำความผิดร่วมกับคนร้ายที่หลบหนีไปอีก 2 คน ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยที่ 1 ได้ปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนให้หลบหนีไปตั้งแต่วันเกิดเหตุ แต่ต้องการปกปิดความผิดของตนเองจึงแกล้งควบคุมตัวโจทก์มาดำเนินคดีแทน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 157,172, 174, 177 และ 184
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำของจำเลยที่ 1 เพราะการที่จำเลยที่ 1 ปล่อยตัวนายดอเลาะและนายมะแอโดยรู้อยู่แล้วว่าบุคคลทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ และคุมตัวโจทก์ไว้ย่อมทำให้โจทก์ถูกดำเนินคดี หากจำเลยที่ 1 ไม่ปล่อยตัวบุคคลทั้งสองไป พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการย่อมจะไม่ดำเนินคดีแก่โจทก์ เนื่องจากบุคคลทั้งสองจะต้องรับสารภาพและทำให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการทราบว่า โจทก์มิใช่ผู้กระทำความผิดจึงถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และเป็นผู้เสียหายในคดีนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการจะดำเนินคดีแก่โจทก์หรือไม่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดของโจทก์เอง ไม่เกี่ยวกับการปล่อยตัวบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ที่โจทก์อ้างว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ปล่อยตัวนายดอเลาะและนายมะแอไป บุคคลทั้งสองย่อมรับสารภาพอันจะทำให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการทราบว่าโจทก์มิใช่ผู้กระทำความผิดและไม่ดำเนินคดีแก่โจทก์นั้นเป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์เอง การที่จำเลยที่ 1 ปล่อยตัวบุคคลทั้งสองไป และโจทก์ถูกดำเนินคดีจะถือว่าโจทก์ถูกดำเนินคดีเพราะการปล่อยตัวบุคคลทั้งสองไปยังไม่ได้ หากการปล่อยตัวบุคคลทั้งสองของจำเลยที่ 1เป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการผู้ที่ได้รับความเสียหายก็คือรัฐมิใช่โจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
พิพากษายืน

Share