แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยเป็นลูกค้ากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชีบางครั้งเป็นจำนวนถึง16,700,000 บาท แสดงว่าโจทก์เชื่อว่าจำเลยมีความสามารถในการประกอบธุรกิจหากำไรมาใช้หนี้โจทก์ได้ ทั้งปรากฏว่าบางครั้งจำเลยสามารถนำเงินเข้ามาหักบัญชีได้เป็นจำนวนถึง 4,900,000บาท จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2528 จำเลยนำเงินเข้าหักบัญชีเป็นจำนวนถึง 4,453,159.05 บาท คงเหลือเงินที่เป็นหนี้ถึงวันฟ้องเพียง 761,028.32 บาท ซึ่งจำเลยเคยเป็นหนี้มีจำนวนมากกว่าจำนวนที่โจทก์ฟ้องหลายเท่า จำเลยยังสามารถชำระหนี้ได้และไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นอีก ทั้งจำเลยก็ยังประกอบธุรกิจการค้าเหมือนเดิมดังนี้ แม้โจทก์จะได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8(9)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ก็เป็นแต่เพียงเหตุหนึ่งที่กฎหมายให้อำนาจโจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้เท่านั้นส่วนการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของโจทก์นั้น ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10 ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีนี้จึงยังไม่พอถือว่าจำเลยสมควรตกเป็นบุคคลล้มละลาย.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2522 และวันที่ 27 พฤษภาคม2524 ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการได้เปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ โดยมีจำเลยที่2 ที่ 3 ค้ำประกันร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้นำเงินฝากประจำตามบัญชีเงินฝากประจำที่จำเลยที่ 1 ฝากโจทก์ไว้เป็นประกัน บัญชีได้เดินสะพัดตลอดมาจนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2528 มีการหักหนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 606,926.43 บาท แล้วจำเลยที่ 1 ก็ไม่นำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักหนี้กับโจทก์ โจทก์ได้เตือนจำเลยทั้งสามให้ชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วันจำเลยทั้งสามก็ไม่ชำระหนี้ ถือว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 มียอดหนี้ค้างชำระเกินบัญชีกับโจทก์เพียง 4,200,000 บาท และจำเลยที่ 1 มีบัญชีเงินฝากประจำเป็นประกันให้โจทก์ไว้ 4,200,000 บาท จำเลยที่ 1 แจ้งโจทก์ให้นำเงินฝากดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เข้าบัญชีเดินสะพัดกระแสรายวันหักหนี้เพื่อปิดบัญชี แต่โจทก์ไม่สุจริต ไม่นำเงินในบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 หักหนี้เพื่อปิดบัญชีจึงมียอดหนี้เกินกว่า4,200,000 บาท ซึ่งส่วนที่เกินเป็นจำนวนดอกเบี้ยเท่านั้น จนกระทั่งวันที่ 2 กรกฎาคม 2528 โจทก์จึงนำเงินฝากของจำเลยที่ 1 เข้าหักบัญชี ทำให้จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ธนาคารโจทก์เฉพาะค่าดอกเบี้ยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุที่ควรมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดหรือไม่ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีแต่ตัวจำเลยที่ 2 ปากเดียวมาเบิกความลอย ๆไม่มีหลักฐานอื่นสนับสนุนนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14 บัญญัติว่า “ในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้นั้น ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือ มาตรา 10 ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริง ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ได้ความจริง หรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือมีเหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ให้ศาลยกฟ้อง” ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้ากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.41 กับโจทก์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินเบิกเกินบัญชีบางครั้งเป็นจำนวนถึง 16,700,000บาท จึงรับฟังได้ว่าโจทก์เชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีความสามารถในการประกอบธุรกิจหากำไรมาใช้หนี้โจทก์ได้ ทั้งปรากฏว่าบางครั้งจำเลยที่ 1 สามารถนำเงินเข้ามาหักบัญชีได้เป็นจำนวนถึง 4,900,000บาท จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2528 จำเลยที่ 1นำเงินเข้าหักบัญชีเป็นจำนวนถึง 4,453,159.05 บาท คงเหลือเงินที่เป็นหนี้เมื่อคิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมีจำนวนเพียง 761,028.32 บาทเห็นว่า จำเลยที่ 1 เคยเป็นหนี้มีจำนวนมากกว่าจำนวนที่โจทก์ฟ้องหลายเท่า จำเลยที่ 1 ยังสามารถชำระหนี้ได้ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้เป็นลูกหนี้เจ้าหนี้รายอื่นอีกทั้งจำเลยที่ 1 ก็ยังประกอบธุรกิจการค้าเหมือนเดิมที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เบิกเงินเกินบัญชีครั้งแรก ดังนี้แม้โจทก์จะได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็เป็นแต่เพียงเหตุหนึ่งที่กฎหมายให้อำนาจโจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้เท่านั้น ส่วนการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของโจทก์นั้นศาลต้องพิจารณาเอาความจริงดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10ตามบทกฎหมายดังกล่าวมาในตอนต้น ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีนี้ยังไม่พอถือว่าจำเลยทั้งสามสมควรตกเป็นบุคคลล้มละลายตามฟ้องคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน