คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 595/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การรับสภาพหนี้ เป็นการที่ลูกหนี้รับสภาพต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้ ดังนั้นการที่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก มิได้เป็นลูกหนี้ผูกพันตนเข้าชำระหนี้ให้โจทก์ จึงไม่เป็นการรับสภาพหนี้และแม้จำเลยทำสัญญาไว้ต่อโจทก์ว่าจะชำระหนี้ ซึ่งค. เป็นหนี้โจทก์ให้โจทก์ก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์เจ้าหนี้ตกลงให้หนี้ของ ค. ระงับไป จึงไม่เป็นการแปลงหนี้ใหม่แต่การที่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผูกพันตนเข้าชำระหนี้ที่ ค. ค้างชำระให้โจทก์ จึงเป็นสัญญาประเภทหนึ่งระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งคู่สัญญากระทำด้วยความสมัครใจ เมื่อไม่ขัดต่อกฎหมายย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้ และเมื่อหนี้ตามสัญญานี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ ก็ต้องใช้อายุความ10 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโรงพยาบาลจำเลยทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ไว้ต่อโจทก์ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ที่ นางสาวคำพันธ์ ตั้นภูมิ ค้างชำระค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 18,600 บาท ครบกำหนดจำเลยไม่ชำระโจทก์ทวงถามแต่จำเลยก็เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 30,119บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเพียงผู้ประกันการชำระหนี้ของนางสาวคำพันธ์ ตั้นภูมิ โจทก์ชอบที่จะเรียกให้นางสาวคำพันธ์ชำระหนี้ก่อน ไม่ชอบที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์ฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลโดยอาศัยสัญญารับสภาพหนี้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 จากจำเลย สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีกำหนดอายุความ 2 ปีนับแต่เกิดสิทธิเรียกร้องได้ล่วงเลยมาเป็นเวลา 8 ปีเศษแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 เป็นหนังสือรับสภาพหนี้คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 30,119 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายมีว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4เป็นหนังสือรับสภาพหนี้หรือเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยจำเลยให้เหตุผลว่า การที่จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลของนางสาวคำพันธ์ตั้งภูมิ ถือว่าเป็นการรับสภาพหนี้ไว้ต่อโจทก์ ส่วนการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปอีก 1 เดือน หาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของหนี้เดิมและการที่จำเลยทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมิได้เป็นการปลดเปลื้องหนี้สินที่นางสาวคำพันธ์มีต่อโจทก์ จึงไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ และคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้ฟังมาว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ไว้ต่อโจทก์มีสาระสำคัญว่า จำเลยขอรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ว่านางสาวคำพันธ์ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลโจทก์เป็นเงิน 24,300 บาท ขณะนี้จำเลยยังค้างชำระค่ารักษาพยาบาลของนางสาวคำพันธ์เป็นเงิน 18,600 บาทจำเลยสัญญาว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้นภายในวันที่ 21 กุมภาพันธ์2525 หากจำเลยไม่ชำระให้โจทก์ดำเนินการตามกฎหมายได้ เห็นว่าการรับสภาพหนี้เป็นการที่ลูกหนี้รับสภาพต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้ ดังนั้นการที่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นลูกหนี้ผูกพันตนเข้าชำระหนี้ให้โจทก์จึงไม่เป็นการรับสภาพหนี้ ส่วนการแปลงหนี้ใหม่นั้น แม้จำเลยทำสัญญาไว้ต่อโจทก์ว่าจะชำระหนี้ซึ่งนางสาวคำพันธ์เป็นหนี้โจทก์ให้โจทก์ก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์เจ้าหนี้ตกลงให้หนี้ของนางสาวคำพันธ์ระงับไป จึงไม่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้โดยอาศัยหนังสือสัญญาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 เป็นหลัก แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาประเภทใดตามที่ถูกต้องแท้จริงได้ ตามสัญญาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 เป็นเพียงแต่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผูกพันตนเข้าชำระหนี้ที่นางสาวคำพันธ์ค้างชำระให้โจทก์สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งคู่สัญญากระทำด้วยความสมัครใจ เมื่อไม่ขัดต่อกฎหมายย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้ และเมื่อหนี้ตามสัญญานี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ ก็ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ใหม่)นับแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2525 ซึ่งเป็นวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share