คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 304/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์กำหนดเขตที่ดินให้เป็นเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันใน ปี พ.ศ. 2467และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาระบุแนวเขตที่ดินไว้แล้ว มีผลเป็นกฎหมายที่บุคคลทุกคนรวมทั้งกรมที่ดินและกระทรวงมหาดไทยจำเลยทั้งสองจะต้องรับรู้ว่าที่ดินในบริเวณดังกล่าวเป็นที่หลวงไม่อาจออกโฉนด ให้บุคคลใดได้ แม้ขณะออกโฉนด ที่ดินพิพาท ยังมิได้มีการลงแนวเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในระวางแผนที่เนื่องจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลรักษาพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ยังมิได้มีคำขอให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 26(พ.ศ. 2516)แต่กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวเพิ่งจะออกมาใช้บังคับในภายหลังจำเลยทั้งสองจะอ้างว่าไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันเพราะเหตุดังกล่าวหาได้ไม่ นอกจากนี้ยังปรากฏว่าก่อนที่จะมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสาม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ขอรังวัดสอบเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวันและได้มีการดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินตามคำขอ แม้การรังวัดสอบเขตและการลงแนวเขตในระวางแผนที่จะแล้วเสร็จภายหลังมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสาม แต่เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 1ผู้ทำการจดทะเบียนย่อมต้องทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในระหว่างดำเนินการรังวัดสอบเขต ควรระงับการโอนไว้ก่อน แต่หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองออกโฉนดที่ดินพิพาททับเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสาม จึงเป็นการกระทำโดยความประมาทเลินเล่อ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเนื่องจากทำให้โจทก์ทั้งสามไม่ได้รับประโยชน์จากที่พิพาท จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นนิติบุคคลมีหน้าที่ออกโฉนดที่ดิน ทำนิติกรรมและอื่น ๆ เกี่ยวกับที่ดินตามกฎหมาย พนักงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยทั้งสองได้กระทำการประมาทเลินเล่อออกโฉนดทับที่หลวง และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการละเมิดทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าสังกัดต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายรวม 22,609,375 บาท แก่โจทก์ทั้งสามพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 20,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า การออกโฉนดตามฟ้องเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองได้ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ มิได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายหรือประมาทเลินเล่อจึงมิได้ละเมิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาสูงเกนกว่าเหตุ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2500 นายชาติบุณยรัตพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยที่ 2 และนายภุชงค์ สุวรรณจูฑะเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันออกโฉนดที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่นายตอม เศรษฐบุตร และเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์2510 นายฉัตร โรจนราธา เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีในขณะนั้นซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงจากนายตอมให้แก่โจทก์ทั้งสามต่อมาปรากฏว่า โฉนดที่ดินพิพาททั้งสามแปลงออกทับเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวันอันเป็นที่หลวง จำเลยที่ 1 มีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินทั้งสามแปลง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่านายชาติกับนายภุชงค์ออกโฉนดที่ดินพิพาทและนายฉัตรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยประมาทเลินเล่อ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามหรือไม่ และจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า นายวิชัย ภู่วิจิตรพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากจำเลยที่ 1ให้เป็นคณะกรรมการสอบสวนกรณีออกโฉนดที่ดินทับเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน และนายเสรี อติชาติ นายช่างรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี พยานจำเลยเบิกความยอมรับว่าที่ดินพิพาทได้มีการจัดทำระวางแผนที่ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2454 ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จะมีพระบรมราชโองการกำหนดเขตที่ดินดังกล่าวให้เป็นเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในปี พ.ศ. 2467 พระบรมราชโองการดังกล่าวเป็นพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาระบุแนวเขตที่ดินทั้งสี่ด้านไว้โดยละเอียด ตามเอกสารหมาย ล.9 จึงมีผลเป็นกฎหมายที่บุคคลทุกคนจะต้องรับรู้ว่าที่ดินในบริเวณดังกล่าวเป็นเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันอันเป็นที่หลวง โดยเฉพาะจำเลยทั้งสองซึ่งมีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินย่อมต้องทราบว่าที่ดินในบริเวณดังกล่าวออกโฉนดที่ดินไม่ได้ แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่มีการออกโฉนดที่ดินพิพาทยังมิได้มีการลงแนวเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันในระวางแผนที่เนื่องจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลรักษาพระราชนิเวศน์มฤคทายวันยังมิได้มีคำขอให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 26 (พ.ศ. 2516) แต่กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวเพิ่งจะออกมาใช้บังคับในภายหลัง จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันเพราะเหตุดังกล่าวหาได้ไม่ นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าก่อนที่จะมีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามเมื่อปี พ.ศ. 2510 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ขอรังวัดสอบเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในปี พ.ศ. 2508 และได้มีการดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินตามคำขอ แม้การรังวัดสอบเขตและการลงแนวเขตในระวางแผนที่จะแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2510 ภายหลังมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสาม แต่เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 1 ผู้ทำการจดทะเบียนย่อมต้องทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในระหว่างดำเนินการรังวัดสอบเขตตามคำขอของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ควรระงับการโอนไว้ก่อน แต่หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองออกโฉนดที่ดินพิพาททับเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสาม จึงเป็นการกระทำโดยความประมาทเลินเล่อ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเนื่องจากทำให้โจทก์ทั้งสามไม่ได้รับประโยชน์จากที่พิพาท จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสามฟังขึ้น
สำหรับความเสียหายของโจทก์ทั้งสามนั้น โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามอาจขายที่ดินพิพาทได้ในขณะถูกเพิกถอนไร่ละไม่น้อยกว่า200,000 บาท ตามสัญญาซื้อขายที่ดินใกล้เคียงเอกสารหมาย จ.10 นั้นเห็นว่า ไม่ปรากฏว่าที่ดินตามเอกสารหมาย จ.10 มีเนื้อที่เท่าใดอยู่ใกล้ไกลจากที่ดินพิพาทเท่าใด จึงยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทมีราคาตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ส่วนจำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมีราคาประเมินของทางราชการในช่วงระหว่างปี2525-2527 รวมกันเป็นเงิน 3,030,300 บาท ตามเอกสารหมาย ล.13ราคาประเมินดังกล่าวมิได้ใช้กับที่ดินพิพาทเท่านั้น แต่ใช้กับที่ดินแปลงอื่นในบริเวณใกล้เคียงด้วย จึงเห็นควรกำหนดให้โจทก์ทั้งสามได้รับชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินตามราคาประเมินของทางราชการพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ขอมาคือวันที่ 18 พฤษภาคม 2526 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์รับแจ้งคำสั่งเพิกถอนโฉนด…”
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสอวงร่วมกันใช้เงิน 3,030,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งตอ่ปี นับแต่วันที่ 18 พฤษภาคม2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์.

Share