แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินและมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในคราวเดียวกัน จำเลยจะต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกามายังศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 252 ด้วย ทั้งต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 จำเลยจะเลือกอุทธรณ์เฉพาะคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลไปยังศาลอุทธรณ์เพียงอย่างเดียวหาได้ไม่ กรณีต้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 252
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 6,159,392.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยยื่นฎีกาพร้อมยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2550 ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไป 30 วัน ถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2550 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2550 ต่อมาวันที่ 22 มิถุนายน 2550 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไปอีก 30 วัน ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอ และต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “อนุญาตให้เป็นครั้งสุดท้ายถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2550” ครั้นวันที่ 21 สิงหาคม 2550 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไปอีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2550 ให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในวันเดียวกันนั้น
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ภายหลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา จำเลยยื่นฎีกาพร้อมยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2550 ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไป 30 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2550 ต่อมาวันที่ 22 มิถุนายน 2550 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอ และต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “อนุญาตให้เป็นครั้งสุดท้ายถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2550” ครั้นวันที่ 21 สิงหาคม 2550 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไปอีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2550 ให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในวันเดียวกันนั้น เห็นว่า การที่จำเลยยื่นฎีกาและยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินและมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในคราวเดียวกัน จำเลยจะต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกามายังศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252 ด้วย ทั้งต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 จำเลยจะเลือกอุทธรณ์เฉพาะคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลไปยังศาลอุทธรณ์เพียงอย่างเดียวหาได้ไม่ กรณีต้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252 ดังกล่าว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบ และไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ