แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่จำเลยที่ 1, 2 ถูกฟ้องร่วมกันมาเพื่อให้ใช้ค่าเสียหายนั้น ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับว่าได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจริง แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเช่นนี้ โจทก์ต้องนำสืบหักล้างให้ฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประมาท ทั้งนี้ เพราะคำให้การอันเป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1กระทำไปนั้นเป็นที่เสื่อมเสียแก่จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้กระทำหรือละเว้นกระทำด้วยเจตนาหรือประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายและจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชดใช้เงินค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การรับตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธหลายประการ ข้อสำคัญจำเลยที่ ๒ อ้างว่าจำเลยที่ ๒ มิได้ประมาทเลินเล่อดังโจทก์กล่าวอ้าง
ชั้นพิจารณา คู่ความแถลงรับกันหลายประการแล้วไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหาย ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ก็ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาว่า ในฎีกาของจำเลยที่ ๒ มีความข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายดั่งโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจริง ทางพิจารณาปรากฏแต่คำรับของจำเลยท่ ๑ ย่อมนำมาผูกมัดจำเลยที่ ๒ ให้ฟังได้ตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังมาหาได้ไม่ แล้วศาลฎีกาได้วินิจฉัยฎีกาข้อนี้ว่า พิจารณาความข้อนี้ตามที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การ คำแถลงของคู่ความ และเอกสารท้ายคำฟ้องที่รับกันดังที่ศาลชั้นต้นบันทึกรายงานกระบวนพิจารณาไว้ ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๑ ได้ละเมิดต่อทรัพย์สินของโจทก์เพราะปฏิบัติบกพร่องต่อหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อขายจักร์โดยวิธีเช่าซื้อให้แก่ผู้เช่าซื้อซึ่งมีความเป็นอยู่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อมีฐานะและความเป็นอยู่ไม่มั่นคงพอที่จะรับให้เป็นผู้ค้ำประกันหนี้แต่อย่างใดเลย การกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๒
ให้การปฏิเสธความรับผิดหลายประการ รวมถึงว่ามิใช่กรณีละเมิด และว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ ตามเอกสารสัญญารับรองความเสียหายที่จำเลยที่ ๒ ทำกับโจทก์ไว้มีข้อความตกลงยินยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้กระทำหรือละเว้นการกระทำใด ๆ ด้วยเจตนาหรือประมาทหรือด้วยเจตนาทุจริต เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ตามคำแถลงของคู่ความไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยที่ ๒ ยอมรับว่าจำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ดั่งที่โจทก์กล่าวอ้างเลย ฉะนั้น โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างอันเป็นการหักล้างคำให้การต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ สำหรับคำให้การของจำเลยที่ ๑ นั้น แม้จำเลยที่ ๑ จะยอมรับผิดตามฟ้องของโจทก์ทุกประการ ก็หามีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ ด้วยไม่ ทั้งนี้ จะเห็นโดยมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติความว่า กระบวนพิจารณาที่คู่ความคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่น ๆ ไม่มีผลผูกพันคู่ความร่วมคนอื่น ๆ คดีต้องยกฟ้องสำหรับตัวจำเลยที่ ๒ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาปัญหาข้ออื่นต่อไป
พิพากษาแก้เฉพาะที่เกี่ยวกับตัวจำเลยที่ ๒ เป็นยกฟ้อง