แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า เงินตามเช็คพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าการที่จำเลยนำเงินตามเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของ ส. เพราะทำตามคำสั่งของ ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิด ผู้ร้องสอดร้องสอดว่า เงินตามเช็คพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด ดังนั้น ศาลมีอำนาจวินิจฉัยว่า ใครเป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คพิพาท ไม่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น แม้ว่าโจทก์จะมีชื่อเป็นผู้ยื่นซองประกวดราคารับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนและเป็นผู้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าวกับ ก. ก็ตาม เมื่อผู้ร้องสอดอ้างว่า ผู้ร้องสอดยืมชื่อโจทก์มาใช้ในการยื่นซองประกวดราคาและทำสัญญาจ้างเหมาเท่านั้น ส่วนการลงทุนก่อสร้างอาคารเรียน ผู้ร้องสอดแต่ผู้เดียวเป็นผู้ลงทุนผู้ร้องสอดมีหลักฐานการรับเงินค่าตอบแทนของโจทก์หลักฐานการจ่ายค่าจ้างให้แก่ภริยาจำเลยในการรับจ้างก่อสร้าง และยังมีพยานบุคคลมาสืบว่าได้รับจ้างผู้ร้องสอดก่อสร้างอาคารเรียน เมื่อฟังประกอบกับการที่โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้รับเงินค่าจ้างเหมาก่อสร้างจาก ก. ทั้งหมดแทน พฤติการณ์ดังกล่าวส่อแสดงว่าโจทก์เป็นเพียงตัวแทนเชิดของผู้ร้องสอด ในการรับจ้างก่อสร้างอาคารเรียนกับ ก. ดังนั้นแม้ ก. จะจ่ายค่ารับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนเป็นเช็คระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน และขีดคร่อมระบุให้เข้าบัญชีของผู้รับเท่านั้นก็ตาม เช็คดังกล่าวก็เป็นของผู้ร้องสอด จำเลยนำเช็คพิพาทเข้าบัญชีของ ส. หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของเงินตามเช็คที่แท้จริงและโจทก์ตกลงให้กระทำได้นั้น การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีเงินได้เป็นค่าจ้างตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ จากกรมสามัญศึกษาซึ่งได้ชำระด้วยเช็คธนาคารแห่งประเทศไทย รวมสี่ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,211,600 บาท เช็คแต่ละฉบับระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินและได้ขีดคร่อมเช็คโดยระบุไว้กลางเส้นที่ขีดคร่อมมีข้อความว่า”เข้าบัญชีผู้รับเท่านั้น” แต่เมื่อห้าง ฯ สุรศักดิ์ ก่อสร้างกันทรวิชัย ตัวแทนโจทก์ได้นำเช็คแต่ละฉบับดังกล่าวไปติดต่อขอให้จำเลยเรียกเก็บเงินจำเลยกลับโอนเงินตามเช็คไปเข้าบัญชีส่วนตัวของนายสุรศักดิ์ โดยมิชอบ ขอให้บังคับให้ จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นเงิน 8,522,543.62 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคามกระทำโดยสุจริตตามคำสั่งของนายสุรศักดิ์ ตัวแทนของโจทก์ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า โจทก์กับผู้ร้องสอดได้ตกลงกันให้ใช้ชื่อโจทก์เป็นผู้ประมูลงานก่อสร้างโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ ของกรมสามัญศึกษา โดยให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้ดำเนินงานทั้งหมดและรับผิดชอบแต่ผู้เดียว และให้เงินค่าก่อสร้างที่จะได้รับจากกรมสามัญศึกษาเป็นของผู้ร้องสอด โจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้รับเงินค่าก่อสร้างทั้งหมด และตกลงยินยอมให้ผู้ร้องสอดนำเงินตามเช็คที่รับมาจากกรมสามัญศึกษาเข้าบัญชีของผู้ร้องสอดที่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคาม เงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างก่อสร้างดังกล่าว จึงเป็นเงินของผู้ร้องสอดหากโจทก์ ชนะคดีผู้ร้องสอดอาจถูกจำเลยใช้สิทธิไล่เบี้ยได้ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้คำร้องว่า โจทก์เป็นผู้ประมูลงานก่อสร้างและดำเนินงานทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนแล้วเสร็จ เงินตามฟ้องเป็นเงินของโจทก์ การที่ผู้ร้องสอดนำเงินของโจทก์ไปเข้าบัญชีของผู้ร้องสอดจึงเป็นการกระทำผิดหน้าที่ตัวแทนของโจทก์ ขอให้ยกคำร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 7,207,915 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยยกคำร้องสอด
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่าเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นเช็คธนาคารแห่งประเทศไทยที่กรมสามัญศึกษาเป็นผู้สั่งจ่ายโดยระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินและเป็น เช็คขีดคร่อมทั่วไปโดยมีข้อความว่า “เข้าบัญชีผู้รับเท่านั้น” ต่อมาผู้ร้องสอดซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ในการรับเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับได้นำเช็คพิพาทแต่ละฉบับมาให้ธนาคารจำเลยสำนักงานใหญ่เรียกเก็บเงินตามเช็คเหล่านั้น และได้ทำคำขอให้ธนาคารจำเลยสำนักงานใหญ่โอนเงินตามเช็คพิพาทแต่ละฉบับโดยทาง โทรเลขไปยังธนาคารจำเลยสาขามหาสารคาม ธนาคารจำเลยสำนักงานใหญ่ได้จัดการให้ตามคำขอดังกล่าว แต่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคามกลับนำเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับไปเข้าบัญชีส่วนตัวของนายสุรศักดิ์ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอด การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์มิได้รับเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ
ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีไม่มีประเด็นว่า เงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นเงินของใครการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า เช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นของผู้ร้องสอดเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นนั้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นหลัก จำเลยให้การต่อสู้ ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดเพราะการที่จำเลยนำเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเข้าบัญชีของนายสุรศักดิ์ ตามคำสั่งของนายสุรศักดิ์ ตัวแทนของโจทก์และเป็นการกระทำโดยสุจริต นอกจากนี้ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่าเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นของผู้ร้องสอด ดังนั้นศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า ใครเป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ หาเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
สำหรับประเด็นที่ว่า ใครเป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คทั้งสี่ฉบับนั้น จำเลยและผู้ร้องสอดนำสืบว่า เมื่อประมาณกลางปี 2523ผู้ร้องสอดได้ยืมชื่อโจทก์ยื่นซองประกวดราคารับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ กรมสามัญศึกษา และทำสัญญาจ้างเหมากับกรมสามัญศึกษา โดยผู้ร้องสอดให้ค่าตอบแทนแก่นายสมจิตรอินทะคำภู หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์เดือนละ 1,500 บาท และให้ภริยากับบุตรของนายสมจิตร ทำงานก่อสร้างกับผู้ร้องสอดด้วย ผู้ร้องสอดเป็นผู้ทำงานก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าว โดยเป็นผู้ลงทุนแต่ผู้เดียว โจทก์จึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างจากกรมสามัญศึกษาทั้งหมด ซึ่งตามสัญญาแบ่งการจ่ายเงินออกเป็น 5 งวด และโจทก์ตกลงให้ผู้ร้องสอดนำเงินที่ได้รับแต่ละงวดเข้าบัญชีของนายสุรศักดิ์ ศรีสถิตย์ หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอด บัญชีเลขที่ 474 ที่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคามต่อมาได้มีการส่งมอบงานรวม 4 งวด งวดแรกเมื่อเดือนมกราคม 2524งวดที่ 4 เมื่อเดือนกันยายน 2524 โดยกรมสามัญศึกษาได้จ่ายเงินแต่ละงวดเป็นเช็คธนาคารแห่งประเทศไทย รวมสี่ฉบับ จำเลยได้โอนเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับ เข้าบัญชีเลขที่ 474 ของนายสุรศักดิ์ ศรีสถิตย์และจำเลยได้แจ้งการโอนเงินบัญชีดังกล่าวให้โจทก์ทราบทุกครั้งโจทก์รับทราบแล้วไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องสอดมีหลักฐานการรับเงินค่าตอบแทนของโจทก์และหลักฐานการจ่ายค่าจ้างให้แก่ภริยาจำเลย ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.ร.5 และป.ร.6 ตามลำดับ นอกจากนั้นผู้ร้องสอดมีนายไกรวัล ทะกันจร นายอนันต์มิตรภานนท์ นายผงวงษ์ สมศรี นายบุญมี อังกาพย์ เบิกความยืนยันว่าผู้ร้องสอดได้ว่าจ้างให้นายไกรวัลลย์ เป็นคนทาสีอาคารเรียนที่ก่อสร้าง ซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าจากนายอนันต์ มาติดตั้งในอาคารเรียนที่ก่อสร้าง ว่าจ้างนายผงเป็นยามรักษาการณ์และรับสิ่งของที่นำมาใช้ในการก่อสร้างโดยให้นายบุญมีเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง ส่วนโจทก์นำสืบลอย ๆ ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างอาคารดังกล่าวด้วยตนเองนอกจากนี้ข้อที่ นายสมจิตร หุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์เบิกความว่าในระหว่างดำเนินการก่อสร้างอยู่นั้นนายสมจิตร ไม่ มีเงิน ต้องกู้เงินจากนายสุรศักดิ์ หุ้นส่วน ผู้จัดการห้างผู้ร้องสอดมาใช้จ่ายเดือนละ 1,500 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.ร.5 นั้น ก็ขัดต่อเหตุผลเพราะหากนายสมจิตร ซึ่งเป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการห้างโจทก์มีความสามารถประมูลงานได้ในราคาเกือบ 10,000 บาทเช่นนี้นายสมจิตรน่าจะมีความสามารถในการหาเงินมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนได้มากพอสมควร ไม่น่าเชื่อว่าจำเป็นจะต้องกู้ยืมนายสุรศักดิ์ ไปใช้จ่ายเพียงเดือนละ 1,500 บาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้างานก่อสร้างอาคารดังกล่าวเป็นของโจทก์เอง ก็ไม่น่าจะมีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องมอบให้แก่ ผู้ร้องสอดไปรับเงินค่าก่อสร้างแทน เพราะเงินที่จะต้องรับแต่ละงวดมีจำนวนมากถึงงวดละกว่า 1,000,000 บาท และถ้าเงินค่าจ้างก่อสร้างแต่ละงวดเป็นของโจทก์จริง โจทก์ก็น่าจะคอยคิดตามสอบถามถึงการรับเงินดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อนำเงินมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนต่อไป เพราะโจทก์นำสืบรับว่าขาดเงินทุนหมุนเวียนอยู่ส่วนข้อที่โจทก์นำสืบว่าได้ติดตามสอบถามการับเงินของผู้ร้องสอดแล้วผู้ร้องสอดแจ้งว่ากำลังโอนเงินอยู่ ก็เป็นเหตุผลไม่น่าเชื่อเพราะการรับเงินแต่ละงวดที่ระยะเวลาห่างกันนานนับเป็นเดือน ทั้งเงินที่ได้รับแต่ละงวดมีจำนวนมาก หากโจทก์ ยังไม่ได้รับเงินงวดแรกโจทก์ไม่น่าจะปล่อยให้ผู้ร้องสอดรับเงินงวดต่อ ๆ ไปแทนโจทก์อีกแต่กลับปรากฏว่าโจทก์ให้ผู้ร้องสอดรับเงินติดต่อกันถึง 4 งวดทั้ง ๆ ที่ระยะเวลานับตั้งแต่ งวด ที่ 1 ถึงงวดที่ 4 ห่างกันเกือบ1 ปี และไม่มีบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารจำเลย หากโจทก์เป็นเจ้าของเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ ซึ่งจะต้องโอนมาเข้าบัญชีของโจทก์จริงแล้ว โจทก์น่าจะขวนขวายเปิดบัญชีไว้ที่ธนาคารจำเลยการที่โจทก์นิ่งเฉย ไม่ได้สนใจเช่นนี้ส่อแสดงว่าเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นของผู้ร้องสอดมิใช่ของโจทก์เพราะโจทก์เป็นเพียงตัวแทนเชิดของผู้ร้องสอดในการรับจ้างก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าวเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับตามฟ้องเป็น ของผู้ร้องสอด การที่จำเลยนำเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเข้าบัญชีของนายสุรศักดิ์ ศรีสถิตย์ หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของเงินตามเช็คที่แท้จริง และโจทก์ตกลงให้กระทำได้เช่นนี้ แม้เช็คทั้งสี่ฉบับได้ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินก็ตามการกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.