คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประทานบัตรของโจทก์หมดอายุแล้ว โจทก์ยังไม่ได้รับประทานบัตรใหม่ เพียงแต่เจ้าพนักงานรับเรื่องขอประทานบัตรใหม่ของโจทก์ไว้พิจารณาเท่านั้น โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทและไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทได้ เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปอยู่ในที่ประทานบัตรของโจทก์ จำเลยต่อสู้คดีว่าประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้วและจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาท คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยขัดขวางการขอออกประทานบัตรของโจทก์หรือไม่ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิทำเหมืองแร่ประทานบัตรที่3734/5843 จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกโรงเรือนและต้นไม้ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์ คิดเป็นเนื้อที่ประมาณครึ่งไร่ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินประทานบัตรของโจทก์แล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยและบริวารออกไป พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินประทานบัตรของโจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ประทานบัตรเลขที่ 3734/5843ขาดอายุแล้ว โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ถือประทานบัตรดังกล่าว และไม่มีสิทธิใดตามประทานบัตร จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทเพราะครอบครองโดยสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน 1 ปีแล้วฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเดิมบริษัทอีสต์เอเชียติกอินดัสตรีแอนด์พลานเตชั่น จำกัด ได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรที่ 3734/5843 มีกำหนด 20 ปีต่อมาโจทก์รับโอนประทานบัตรดังกล่าวจากบริษัทอีสต์เอเชียติกอินดันสตรีแอนด์พลานเตชั่น จำกัด หลังจากได้รับโอนประทานบัตรมาแล้ว โจทก์ได้เปิดทำเหมืองแร่ตลอดมาและขอต่ออายุประทานบัตรอีก 5 ปี ก่อนที่ประทานบัตรจะสิ้นอายุลงในวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2513 โจทก์ยื่นคำขอประทานบัตรใหม่ เมื่อวันที่ 9กุมภาพันธ์ 2513 ทรัพยากรธรณีจังหวัดรับไว้ตามคำขอที่ 10/2513เมื่อได้รับคำขอประทานบัตรแล้วทรัพยากรธรณีจังหวัดได้ส่งช่างรังวัดออกไปรังวัดกำหนดเขตพื้นที่ระหว่างเดือนเมษายน 2519 ถึงเดือนกรกฎาคม2519 และประกาศคำขอประทานบัตรตามกฎหมายแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้านขณะยังอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อออกประทานบัตร เมื่อวันที่21 ธันวาคม 2530 โจทก์สั่งให้คนงานของโจทก์นำรถแทรกเตอร์ไปไถบริเวณที่พิพาท เพื่อทำแผนผังและโครงการทำเหมืองยื่นต่อทรัพยากรธรณีจังหวัด จึงทราบว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ประทานบัตรของโจทก์เนื้อที่ประมาณครึ่งไร่ ศาลฎีกาเห็นว่า ประทานบัตรของโจทก์หมดอายุตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2513 โจทก์ได้ดำเนินการขอประทานบัตรใหม่ จนถึงวันฟ้องคดีนี้ โจทก์ยังไม่ได้รับประทานบัตรใหม่เพียงแต่เจ้าพนักงานรับเรื่องขอประทานบัตรใหม่ของโจทก์ไว้พิจารณาเท่านั้น ทั้งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 73(1) ยังบัญญัติว่าเมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้ว มิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง ดังนั้นก่อนที่โจทก์จะได้รับประทานบัตรฉบับใหม่โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับโจทก์ ขณะที่โจทก์เข้าไปดำเนินการในที่พิพาทเพื่อขอประทานบัตรใหม่เป็นการขัดขวาง การขอออกประทานบัตรของโจทก์ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปอยู่ในที่ประทานบัตรของโจทก์จำเลยต่อสู้คดีว่า ประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้ว และที่พิพาทจำเลยมีสิทธิครอบครอง คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยขัดขวางการขอออกประทานบัตรของโจทก์หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่น ๆ อีกต่อไป ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share