คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยกับผู้ตายอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยา การที่ผู้ตายไปนอนค้างคืนกับนาย พ.และผู้ตายยังบอกจำเลยต่อหน้านายพ.อย่างปราศจากความยำเกรงจำเลยว่า ผู้ตายมานอนกับนาย พ.ทุกคืน จึงเป็นการเยาะเย้ยท้าทายจำเลยว่าได้ทำชู้ กันอยู่เรื่อย ๆจำเลยจะทำไม อันเป็นการยั่วยุอารมณ์ของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการสบประมาทจำเลยอย่างร้ายแรง โดยมิได้คาดคิดมาก่อน ย่อมเหลือวิสัยที่จำเลยจะอดกลั้นไว้ได้ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการกดขี่ข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในทันทีจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,371, 33, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม2519 ข้อ 3, 7 และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การว่า จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ
ระหว่างพิจารณาพันตำรวจโทสุมิตร ขุนพินิจ และนางเจียรจิตต์ขุนพินิจบิดามารดาผู้ตายได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำเลยกระทำความผิดแล้วรู้สำนึกและมารดาจำเลยได้ช่วยค่าทำศพผู้ตาย 120,000 บาท วางโทษจำคุก 18 ปี ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 7ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ปรับ1,050 บาท เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุก 18 ปี และปรับ 1,050 บาทคำรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณามีประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกจำเลย12 ปีและปรับ 700 บาท ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายพอพลเบิกความว่าเมื่อผู้ตายยอมรับว่ามานอนที่บ้านพยาน โดยพูดว่ามานอนทุกวันจำเลยก็ลุกขึ้นเดินไปหาผู้ตายพร้อมกับชักอาวุธปืนออกมาจากเอวพยานร้องห้าม จำเลยก็พูดว่าทำไมจึงหลอกกัน และตอบคำถามค้านว่าจำเลยยิงผู้ตายอาจจะเนื่องจากโกรธผู้ตายผู้ตายหลอกและไปนอนค้างคืนกับนายพอพลโดยไม่ทราบมาก่อนว่าผู้ตายกับนายพอพลมีสัมพันธ์สวาทกัน
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยเกิดจากการกระทำที่ถูกกดขี่ข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ จำเลยอ้างว่าผู้ตายอยู่กินร่วมกันกับจำเลยฉันสามีภรรยาตั้งแต่อยู่ในประเทศออสเตรเลียและเมื่อกลับมายังประเทศไทย จำเลยกับผู้ตายก็อยู่กินฉันสามีภรรยาจนกระทั่งเกิดเหตุ ข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้างนี้ จำเลยมีนางวัลยา ศุภกุลพี่สาวจำเลยมาเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยกับผู้ตายอยู่กินฉันสามีภรรยาที่ประเทศออสเตรเลีย โดยอาศัยอยู่ที่บ้านพยานประกอบด้วยนายพอพลพยานโจทก์เบิกความว่า ผู้ตายพักอาศัยอยู่ที่บ้านพี่สาวจำเลยที่ประเทศออสเตรเลียจึงฟังได้ว่าจำเลยกับผู้ตายอยู่กินฉันสามีภรรยาที่ประเทศออสเตรเลีย สำหรับในประเทศไทยจำเลยมีนางบุญช่วยรุกชาติ มารดาจำเลยมาเบิกความสนับสนุนว่าจำเลยกับผู้ตายอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยาและจะแต่งงานกัน เห็นว่า แม้นางบุญช่วย จะเป็นมารดาจำเลย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าครอบครัวจำเลยและครอบครัวผู้ตายรู้จักสนิทสนมกันและก่อนเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายก็ยังไปพบโจทก์ร่วม แสดงให้เห็นว่า จำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์กันอยู่ น่าเชื่อว่าจำเลยกับผู้ตายอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยาในประเทศไทยก่อนเกิดเหตุด้วย การที่ผู้ตายไปนอนค้างคืนกับนายพอพลและผู้ตายยังบอกจำเลยต่อหน้านายพอพลอย่างปราศจากความยำเกรงจำเลยว่าผู้ตายมานอนกับนายพอพลทุกคืน จึงเป็นการเยาะเย้ยท้าทายจำเลยว่าได้ทำชู้กันอยู่เรื่อย ๆ จำเลยจะทำไมอันเป็นการยั่วยุอารมณ์ของจำเลยถือได้ว่าเป็นการสบประมาทจำเลยอย่างร้ายแรงโดยมิได้คาดคิดมาก่อน ย่อมเหลือวิสัยที่จำเลยจะอดกลั้นโทสะไว้ได้ จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในทันทีพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกกดขี่ข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจำเลยบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้นจนขาดความยับยั้งชั่งใจ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ที่ศาลล่างพิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share