แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์และจำเลยแถลงในวันชี้สองสถานว่ายินยอมหย่ากันโดยไม่สืบพยาน แต่ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นที่ว่า โจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสองกับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไปโดยคู่ความแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัยนั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม โดยให้โจทก์ผู้เป็นมารดาเป็นผู้ปกครองบุตรสาวคนโตอายุ 8 ปี และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรสาวเดือนละ 1,000 บาทจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ ส่วนบุตรชายคนเล็กอายุ 6 ปี ให้จำเลยผู้เป็นบิดาเป็นผู้ปกครองแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้ก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว จำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าจำเลยทำร้ายร่างกาย จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปีและทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรสาวและบุตรชายซึ่งมีอายุ 8 ปี และ 6 ปี ตามลำดับ โดยให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนละ 1,000 บาทต่อเดือน จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะหรือจบการศึกษาชั้นสูงระดับปริญญาตรี
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้กระทำตามที่โจทก์อ้างจึงไม่มีเหตุฟ้องหย่า ขอให้ยกฟ้อง และขอให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง โดยให้โจทก์ส่งเงินเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนละ 1,000 บาทต่อเดือน จนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะหรือจบการศึกษาชั้นสูงตามที่บุตรทั้งสองประสงค์จะศึกษาต่อ
ในวันชี้สองสถาน โจทก์จำเลยแถลงว่า ยินยอมหย่ากันโดยไม่สืบพยานและขอให้ศาลวินิจฉัยว่าบุตรทั้งสองควรอยู่กับใครและกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ โดยต่างฝ่ายต่างแถลงเรื่องรายได้ของตนเพื่อประกอบการวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากัน ให้โจทก์เป็นผู้ปกครองเด็กหญิงสุพรรณิการ์ บัวรักสกุล โดยให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงสุพรรณิการ์ เดือนละ 1,000 บาท นับแต่มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าเด็กหญิงสุพรรณิการ์ จะบรรลุนิติภาวะ ให้จำเลยเป็นผู้ปกครองเด็กชายเมธา บัวรักสกุล
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยมิได้คำนึงถึงสภาพจิตใจของบุตรทั้งสองว่ามีความผูกพันต่อโจทก์และจำเลยเพียงใด และการที่บุตรทั้งสองซึ่งเคยอยู่ร่วมกันตั้งแต่เกิดต้องพลัดพรากจากกันย่อมเกิดความรู้สึกเป็นปมด้อย หากให้บุตรทั้งสองอยู่ในความดูแลของจำเลยย่อมเกิดความอบอุ่นทางใจ เพราะจำเลยเลี้ยงดูบุตรทั้งสองมาโดยตลอด จำเลยสามารถอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรทั้งสองได้ดีกว่าโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นที่ว่า โจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสองกับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไป โดยคู่ความแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัย ดังนี้ เท่ากับคู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดในประเด็นที่กล่าวมาแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม และไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้ว ก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว จำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.