แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อทั้งโจทก์จำเลยต่างสามารถเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ส่วนการให้บุตรผู้เยาว์อยู่กับมารดาได้รับความอบอุ่นมากกว่า จึงสมควรให้จำเลยเป็นผู้ปกครองบุตรผู้เยาว์และแม้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์จะตก แก่จำเลยก็ตาม โจทก์มีสิทธิจะติดต่อกับบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์ คดีก่อนถึงที่สุดโดยศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้งโจทก์ในคดีนี้ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้อีกไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภรรยาโดยจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กชายไกรภพ ดิษปาน อายุ 3 ขวบเมื่อเดือนมกราคม 2527 จำเลยได้นำเด็กชยไกรภพออกจากบ้านโจทก์ไปอยู่กับนางอุบล อินทศรี มารดาของจำเลยโดยจงใจละทิ้งร้างโจทก์จนบัดนี้เกินกว่า 1 ปีแล้ว ทั้งจำเลยเคยฟ้องหย่าโจทก์ โจทก์กับจำเลยมิได้อุปการะเลี้ยงดูกันและกัน และจำเลยกระทำการป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์อย่างร้ายแรงโดยไม่ยอมร่วมหลับนอนฉันสามีภรรยา จึงขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยา และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายำหรภพ ดิษปาน โดยให้จำเลยส่งมอบเด็กชายไกรภพ ดิษปาน ผู้เยาว์ให้โจทก์ภายในกำหนด 7 วัน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ทิ้งร้างโจทก์ เหตุที่จำเลยไปอยู่กับมารดาเพราะถูกโจทก์ทำร้ายทุบตี จำเลยมีอาชีพทำนาและอาศัยอยู่กับบิดามารดา จำเลยเวลาพอที่จะเลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ชายและมีอาชีพรับราชการจึงไม่มีเวลาให้ความอบอุ่นแก่บุตรได้เท่าจำเลย เหตุที่จำเลยออกจากบ้านเพราะจำเลยทวงถามทองคำหนัก 4 บาท ซึ่งเป็นของหมั้นและเงิน 6,000 บาท ที่ได้ขณะแต่งงาน ซึ่งอยู่ที่มารดาโจทก์คืนจากโจทก์ โจทก์จึงทุบตีจำเลยฟ้องโจทก์เกี่ยวกับผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายไกรภพเป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 62/2528 ของศาลชั้นต้น เพราะเหตุอย่างเดียวกันโจทก์มีหน้าที่ให้การศึกษาแก่บุตรคือเด็กชายไกรภพ ดิษปาน จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ จำเลยเคยทวงถามค่าอุปการะเลี้ยงดูจากโจทก์เดือนละ 1,000 บาท แต่โจทก์เพิกเฉย จึงขอให้ยกฟ้องโจทก์และให้จำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายไกรภพ ดิษปาน บุตรผู้เยาว์ ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้จำเลยเดือนละ 1,000 บาทจนกว่าเด็กชายไกรภพ ดิษปาน บุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าฟ้องแย้งจำเลยไม่เป็นความจริง โจทก์ผู้เดียวเป็นผู้หาเงินเลี้ยงครอบครัวโจทก์ไม่เคยทุบตีจำเลย จำเลยออกจากบ้านเพราะการชักจูงของมารดาจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยซ้ำกับคดีแห่งหมายเลขแดงที่63/2528 ของศาลชั้นต้น จำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยเรียกเกินกว่าสมควร จำเลยไม่มีอำนาจขอเป็นผู้ปกครองเด็กชายไกรภพ ดิษปาน โจทก์สามารถเลี้ยงดูให้การศึกษาเด็กชายไกรภพ ดิษปาน ได้ดีกว่าจำเลย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า 1. ฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยเป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 63/2528 ของศาลชั้นต้นหรือไม่2. จำเลยทิ้งร้างโจทก์ไปกว่า 1 ปี เป็นเหตุให้ฟ้องหย่าหรือไม่และ 3. เมื่อหย่าแล้วใครจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและบุตรจะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละเท่าไร ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นคู่ความสละประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 และตกลงหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันโดยจะไปจดทะเบียนหย่าภายหลังศาลพิพากษาในกำหนด 7 วันและติดใจสืบพยานเฉพาะประเด็นข้อที่ 3 เท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน หากไม่ไปจดทะเบียนหย่าให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน เมื่อหย่ากันแล้ว หากจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูบุตร บุตรจะได้รับความอบอุ่นมากกว่าจึงสมควรให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร โจทก์มีรายได้เดือนละ 3,325 บาท สมควรให้จำเลยได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากโจทก์ ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายไกรภพ ดิษปานบุตรผู้เยาว์แก่จำเลยเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าเด็กชายไกรภพ ดิษปาน จะบรรลุนิติภาวะ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาแรกโจทก์ฎีกาว่า โจทก์หรือจำเลยควรเป็นผู้ปกครองเด็กชายไกรภพ ดิษปาน บุตรผู้เยาว์ เห็นว่า โจทก์เป็นอาจารย์ 1 ระดับ 3 เงินเดือนขณะนั้น 3,325 บาท บิดาเป็นข้าราชการบำนาญ มีนา 400 ไร่ ส่วนจำเลยจบการศึกษาประถมปีที่ 4มีนา 30 ไร่ ทำร่วมกับบิดามารดาอีก 80 ไร่ แม้โจทก์มีฐานะดีกว่าจำเลยมากก็ตาม แต่โจทก์อาศัยอยู่บ้านพักครูกลางวันต้องไปสอนวันเสาร์-อาทิตย์จึงได้กลับบ้าน การที่จะให้เด็กชายไกรภพบุตรผู้เยาว์ซึ่งมีอายุ 3 ขวบ อยู่กับโจทก์ย่อมไม่สะดวก แม้ว่าจะหาผู้มาเลี้ยงหรือส่งบุตรผู้เยาว์อยู่ในโรงเรียนอนุบาลก็ตามความอบอุ่นที่บุตรผู้เยาว์ได้รับจากมารดามีมากกว่า เพราะมารดาอยู่ใกล้ชิดบุตรผู้เยาว์ตลอดเวลานับแต่คลอด จำเลยก็มิได้ยากจนถึงขนาดที่จะเลี้ยงดูและให้การศึกษาบุตรผู้เยาว์ไม่ได้หากโจทก์ประสงค์ที่จะให้บุตรได้รับการศึกษาจนจบการศึกษาชั้นปริญญาตรีก็ทำได้ เพราะแม้อำนาจการปกครองจะตกแก่จำเลยก็ตามโจทก์ยังมีสิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1521 วรรคสองที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยเป็นผู้ปกครองบุตรผู้เยาว์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยคดีนี้ฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 63/2528 ของศาลชั้นต้นซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว เห็นว่าค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 63/2528 ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ในคดีนี้ได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.