คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายไปเที่ยวงานศพที่วัด จนกระทั่งเวลา 21นาฬิกาเศษจะกลับบ้าน พบจำเลย ล. และ ช. ซึ่งรู้จักกันมาก่อน ล. รับอาสาพาผู้เสียหายไปส่งบ้าน ผู้เสียหายตกลงไปด้วยแต่เมื่อออกจากบริเวณงานได้ประมาณ 1 เส้น ล. ฉุด ผู้เสียหายเข้าป่าละเมาะข้างทาง อันเป็นที่เปลี่ยวและมืด แล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ จากนั้น ล. ก็ผิวปากเป็นสัญญาณให้จำเลยกับ ช. เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อจนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง ดังนี้ลักษณะการกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าว แสดงว่ามีเจตนาร่วมเป็นตัวการในการผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,278, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3 จำคุก 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางอำนวย บุญสุขผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่ นางอำนวย บุญสุขผู้เสียหายเบิกความว่า พบจำเลย นายลิ่มและนายเชิดในบริเวณงานศพนายลิ่มถามผู้เสียหายว่าจะกลับบ้านหรือยัง หากกลับจะไปส่ง แล้วผู้เสียหายกับนายลิ่มก็เดินออกจากบริเวณงาน ขณะเดินมาได้ประมาณ 1 เส้น นายลิ่มฉุดมือผู้เสียหายเข้าไปในป่าละเมาะข้างทางผลักผู้เสียหายนอนลงที่พื้น ถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายออก ทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ จากนั้นนายลิ่มผิวปากเป็นสัญญาณ สักครู่จำเลยและนายเชิดก็เข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อจนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายไปเที่ยวงานศพที่วัดบ้านนาราก ตำบลอรพิมพ์ อำเภอครบุรีผู้เสียหายเที่ยวงานจนถึงเวลา 21 นาฬิกาเศษ จะกลับบ้าน พบจำเลยนายลิ่มและนายเชิดซึ่งเป็นคนรู้จักกันมาก่อน เมื่อนายลิ่มรับอาสาจะพาผู้เสียหายไปส่งบ้าน ผู้เสียหายก็ตกลง เมื่อออกจากบริเวณงานมาได้ประมาณ 1 เส้น ปรากฏว่านายลิ่มฉุดผู้เสียหายเข้าไปในป่าละเมาะข้างทาง ใช้มือปิดปากผู้เสียหาย ข่มขู่ผู้เสียหายไม่ให้ร้อง ผลักผู้เสียหายนอนลงที่พื้น แล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ หลังจากนั้นนายลิ่มได้ผิวปากเป็นสัญญาณเรียกให้จำเลยและนายเชิดเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อจนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาค่ำคืน บริเวณที่เกิดเหตุมืดเป็นป่าละเมาะเปลี่ยว จำเลยกับพวกอาจซุกซ่อนอาวุธติดตัวมาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงย่อมมีความตกใจกลัวเป็นธรรมดาว่าจะถูกจำเลยกับพวกทำร้ายได้หากขัดขืน จึงไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือในสภาพเช่นนั้นผู้เสียหายตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนการข่มขืนกระทำชำเราของจำเลยกับพวกได้ หลังจากจำเลยกับพวกหลบหนีไปแล้ว ผู้เสียหายเดินกลับเข้าไปในบริเวณวัดอีกครั้งหนึ่งเมื่อพบสิบตำรวจเอกกิตติศักดิ์ ศักดิ์สุริยวงศ์ ซึ่งกำลังเข้าเวรรักษาความสงบอยู่ในบริเวณงาน ผู้เสียหายก็แจ้งเหตุดังกล่าวให้สิบตำรวจเอกกิตติศักดิ์ทราบทันที แล้วพาสิบตำรวจเอกกิตติศักดิ์ตามหาจำเลยกับพวก พบจำเลยกลับมาเดินอยู่ในบริเวณงานอีกเมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายและสิบตำรวจเอกกิตติศักดิ์ก็วิ่งหนีอันเป็นพิรุธอย่างยิ่ง ประกอบกับจำเลยนำสืบรับว่าได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายจริง แต่บ่ายเบี่ยงต่อสู้ว่าผู้เสียหายสมัครใจยินยอมโดยอ้างว่าผู้เสียหายชักชวนให้จำเลยดื่มสุราจำเลยก็ร่วมดื่มสุราด้วย แล้วนายลิ่มกับผู้เสียหายพากันเดินออกไป ส่วนจำเลย นายวินัยและนายสง่าไปดูลิเก ขณะดูลิเกนายลิ่มมาบอกว่าผู้เสียหายนั่งรออยู่จำเลยไปกับนายลิ่มพบผู้เสียหายนอนเปลือยกายอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุผู้เสียหายชวนให้จำเลยร่วมประเวณีด้วย แต่จำเลยหาได้นำนายวินัยและนายสง่ามาสืบสนับสนุนให้เห็นข้อเท็จจริงดังกล่าวแต่อย่างใดไม่เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายสมัครใจยินยอมให้จำเลยกับพวกผลัดเปลี่ยนกันร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายและพยานอื่นของโจทก์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเหตุระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยจึงไม่มี พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามฟ้องจริง พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างได้
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ร่วมหรือเป็นตัวการกระทำความผิดด้วย ไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสองได้นั้น เห็นว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายพบจำเลยกับพวกมีนายลิ่มและนายเชิดอยู่ในบริเวณงานศพ เมื่อนายลิ่มข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ นายลิ่มก็ผิวปากเป็นสัญญาณให้จำเลยและนายเชิดเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อจนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง ลักษณะการกระทำของจำเลยและพวกดังกล่าวแสดงว่ามีเจตนาร่วมเป็นตัวการในการผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยกัน เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสองคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยที่รับว่าได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายนั้น เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share