แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยเอายาและเครื่องเวชภัณฑ์ใส่ไว้ในถุงพลาสติก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการไปเอาจากห้องคลังยาโดยตรงหรือในช่วงที่จำเลยเอาไปวางบนชั้นด้านหลังเคาน์เตอร์เภสัชกร ย่อมถือได้ว่าจำเลยเคลื่อนย้ายทรัพย์จากที่ตั้งตามปกติและเข้าถือเอาทรัพย์นั้นแล้ว ทั้งจำเลยยังถือถุงพลาสติกออกไปแม้จะยังไม่พ้นจากห้องจ่ายยาเพราะมีผู้พบเห็นเสียก่อนทำให้จำเลยเอาทรัพย์ไปไม่ได้ ก็ถือว่าความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้วหาใช่เป็นเพียงพยายามลักทรัพย์ไม่ การปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้และไม่ถือเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย นอกจากนี้จำเลยเป็นลูกจ้างประจำและทำงานอยู่ในโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ ห้องจ่ายยาผู้ป่วยในเป็นสถานที่ทำงานของจำเลยและเหตุเกิดในช่วงเวลาที่จำเลยทำงาน จึงมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วจึงลักทรัพย์ในสถานที่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดามิใช่ลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ และศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความซึ่งเป็นบทที่เบากว่าได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) ประกอบมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยานเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงว่า มีการตรวจพบยาและเครื่องเวชภัณฑ์รวม 8 รายการ ราคา 25,779.64 บาท อยู่ในถุงพลาสติกที่จำเลยถือขณะกำลังจะเดินออกจากห้องจ่ายยาผู้ป่วยใน ข้อที่จำเลยอ้างในฎีกาว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามส่อเป็นการหาตัวผู้มารับโทษเกี่ยวกับยาที่สูญหาย ไปนั้น เห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยนี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอแก่การรับฟัง ส่วนการตรวจถุงพลาสติกที่ไม่ได้กระทำต่อหน้าจำเลยโดยนางสาวน้ำฝนให้เหตุผลว่า เนื่องจากเกรงว่าจะผิดใจกับจำเลย ก็เป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลจึงเชื่อได้ว่ามีการตรวจพบยาและเครื่องเวชภัณฑ์รวม 8 รายการ อยู่ในถุงพลาสติกจริง จำเลยถือถุงดังกล่าวขณะกำลังจะเดินออกจากห้องจ่ายยาผู้ป่วยใน แต่เมื่อนางสาวน้ำฝนพบเห็นและห้ามไม่ให้จำเลยนำถุงดังกล่าวออกไป จำเลยก็เชื่อฟัง อันเป็นข้อที่แสดงว่าจำเลยทราบเป็นอย่างดีถึงเรื่องที่นายธงชัยมีคำสั่งห้ามนำถุงหรือสิ่งของที่มีลักษณะปกปิดออกจากห้องเนื่องจากก่อนหน้านี้มียาสูญหายไป ข้อเท็จจริงได้ความว่าภายในถุงพลาสติกมีกล่องใส่ยาเปล่าจำนวนหลายกล่องและกล่องใส่ยาซึ่งมียาบรรจุอยู่ที่ยังไม่ได้เปิดรวม 8 รายการตามฟ้อง และจำเลยยังเบิกความยอมรับว่า จำเลยเป็นคนเอายาออกวางไว้บนชั้นแล้วเอากล่องใส่ยาเปล่าใส่ไว้ในถุงพลาสติกเอง หากภายในถุงดังกล่าวมีแต่กล่องใส่ยาเปล่าและจำเลยจะนำไปขาย โดยไม่มียาและเครื่องเวชภัณฑ์ที่ยังไม่ได้ใช้อยู่ในถุง จำเลยย่อมสามารถที่จะอธิบายและเปิดถุงดังกล่าวให้นางสาวน้ำฝนดูได้ แต่จำเลยกลับไม่กระทำเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ทั้งไม่มีบุคคลอื่นใดที่จะได้รับประโยชน์จากการที่มียาและเครื่องเวชภัณฑ์ติดไปกับถุงซึ่งจำเลยจะเอาไปขาย พฤติกรรมของจำเลยมีพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยลักยาและเครื่องเวชภัณฑ์รวม 8 รายการ ของผู้เสียหายไป ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 นั้น เห็นว่า การที่จำเลยเอายาและเครื่องเวชภัณฑ์ใส่ไว้ในถุงพลาสติกซึ่งไม่ว่าจะเป็นการไปเอาจากห้องคลังยาย่อยโดยตรง หรือในช่วงที่จำเลยเอาไปวางไว้บนชั้นด้านหลังเคาน์เตอร์เภสัชกร ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้เคลื่อนย้ายทรัพย์จากที่ตั้งตามปกติและเข้าถือเอาทรัพย์นั้นแล้ว ทั้งจำเลยยังได้เดินถือถุงดังกล่าวออกไปด้วย แม้จะยังไม่พ้นจากห้องจ่ายยาผู้ป่วยในเพราะนางสาวน้ำฝนพบเห็นเสียก่อน จำเลยจึงเอาทรัพย์ไปไม่ได้ก็เป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้วหาใช่เป็นเพียงพยายามลักทรัพย์ไม่ การปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้และไม่ถือเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย นอกจากนี้จำเลยเป็นลูกจ้างประจำและทำงานอยู่ในโรงพยาบาลที่เกิดเหตุห้องจ่ายยาผู้ป่วยในก็เป็นสถานที่ทำงานของจำเลยและเหตุเกิดในช่วงเวลาที่จำเลยทำงาน จึงมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วจึงลักทรัพย์ในสถานที่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดา มิใช่ลักทรัพย์ในสถานที่ราชการและศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความซึ่งเป็นบทที่เบากว่าได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 6 เดือน