แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การกระทำที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184จะต้องเป็นการกระทำเพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง การที่จำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งป่าไม้อำเภอได้ร่วมกับพวกเผาไม้ท่อน 12 ท่อน ที่พนักงานสอบสวนได้ยึดและรักษาไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานในการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ โดยไม้ดังกล่าวมีดวงตราประจำตัวของจำเลยตีประทับที่หน้าตัดของไม้ทุกท่อน และกำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบว่าเป็นไม้ซึ่งได้ถูกตัดมาโดยถูกต้องตามขั้นตอนและระเบียบกฎหมายหรือไม่นั้น จำเลยกระทำไปด้วยเจตนาเพื่อช่วยตนเองให้พ้นจากความผิดที่ตนอาจได้รับ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 184 แต่เป็นความผิดตามมาตรา 142
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,142, 184 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 142, 184 เป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา 184 จำคุก 2 ปี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์มีจ่าสิบตำรวจสุทิน เจริญชีพมาเบิกความว่า คนร้ายทั้งหมดเป็นชายมีอยู่ 5 คน ใช้รถยนต์ปิกอัพเป็นยานพาหนะ นั่งอยู่ที่เบาะหน้าของรถ 2 คน อีก 3 คน ลงไปเผาไม้ท่อนขณะที่พยานกำลังช่วยกันดับไฟอยู่มีรถยนต์ปิกอัพคล้ายกับคันแรกที่ได้เห็นวิ่งผ่านมาและชะลอความเร็วลง มีคนนั่งที่เบาะหน้าของรถ 2 คน อีก 3 คน นั่งที่กระบะ ได้พากันติดตามไปทันที่บริเวณหน้าโรงเรียนเมืองใหม่ในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร พยานกับร้อยโทบุญดล สิทธิเกษตร ได้ไปสอบถามคนในรถยนต์ปิกอัพนั้นด้วยนายเจริญ นาโสก กับจ่าสิบเอกบุญส่ง อนันโท ก็เบิกความว่าคนในรถยนต์ปิกอัพดังกล่าวมีอยู่ทั้งหมด 5 คน ได้ความจากคำเบิกความของนายบุญส่ง กรรณวงษ์ และนายพรพิศ ชัยสุริยงค์ พยานจำเลยเป็นการเจือสมพยานโจทก์ว่า นายบุญส่งเป็นคนขับรถยนต์ปิกอัพคันดังกล่าวพานายพรพิศ นายเทอดทูล และนายสุรชัยไปเผาไม้ท่อนข้อที่จะต้องพิจารณาจึงมีว่า จำเลยเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่ร่วมไปในรถยนต์ปิกอัพดังที่จ่าสิบตำรวจสุทิน นายเจริญ และจ่าสิบเอกบุญส่งพยานโจทก์เบิกความหรือไม่ ร้อยโทบุญดลพยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยอยู่ในรถยนต์ปิกอัพคันดังกล่าว ส่วนจ่าสิบตำรวจสุทินนั้นเมื่อมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ต่อศาลไม่ยืนยันว่าเป็นจำเลย แต่ในชั้นที่จ่าสิบตำรวจสุทินให้การต่อพนักงานสอบสวนได้ให้การไว้ว่าพยานกับร้อยโทบุญดลเข้าไปสอบถามนายบุญส่งเห็นจำเลยนั่งอยู่หน้ารถและเป็นคนที่พยานรู้จักมาก่อน สำหรับจ่าสิบเอกบุญส่งพยานโจทก์นั้น ก็ได้ชี้ตัวจำเลยในวันที่ 22เมษายน 2529 อันเป็นวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุระบุว่าจำเลยนั่งหน้ารถคู่กับคนขับ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามติดตามรถยนต์ปิกอัพไปก็เพราะเหตุสงสัยว่าเป็นคนร้ายที่เผาไม้ท่อน จึงเชื่อได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสามเข้าไปดูว่าคนในรถนั้นเป็นใครบ้าง แม้ตรงบริเวณดังกล่าวจะไม่มีแสงสว่างจากไฟถนนหรือจากบ้านเรือนก็ตาม แต่รถยนต์ปิกอัพก็ได้เปิดไฟหน้ารถไว้ในระหว่างที่สอบถาม ซึ่งนายเจริญพยานโจทก์เบิกความว่า เป็นเวลานานประมาณ 5 นาที จำเลยนี้เป็นข้าราชการ ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งป่าไม้อำเภอเมืองมุกดาหาร ไม่น่าเชื่อว่า พนักงานสอบสวนจะบันทึกคำให้การของจ่าสิบตำรวจสุทินให้ผิดเพี้ยนไปจากที่ให้การ และบอกให้จ่าสิบเอกบุญส่งชี้ตัวจำเลย โดยที่จ่าสิบเอกบุญส่งไม่ได้เห็นจำเลยนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพจำเลยเบิกความรับว่า ไม่เคยมีสาเหตุกับเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวน จึงไม่มีเหตุที่พนักงานสอบสวนจะกระทำการอันเป็นการปรักปรำใส่ร้ายจำเลย นอกจากนี้เมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนนายบุญส่ง นายเทอดทูล นายพรพิศและนายสุรชัยในฐานะผู้ต้องหาคดีนี้เมื่อวันที่ 21 และ 22 เมษายน 2529ต่างให้การว่าจำเลยได้นั่งไปในรถยนต์ปิกอัพคันดังกล่าวด้วยและเป็นผู้ใช้ให้นายเทอดทูล นายพรพิศและนายสุรชัย เผาที่หัวและท้ายของไม้ท่อนดังที่ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ถึง ป.จ.4นายสุรชัยเป็นบุตรของจำเลยเอง และมีอายุถึง 28 ปีแล้วพนักงานสอบสวนได้สอบสวนเป็นคนแรกในคืนเกิดเหตุนั้นเองแม้จะสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาก็เชื่อได้ว่านายสุรชัยให้การไปตามความจริง เพราะไม่มีเหตุผลอย่างใดที่นายสุรชัยจะซัดทอดไปถึงจำเลยผู้เป็นบิดา หากไม่ได้ร่วมไปกระทำความผิดด้วยจริงได้ความจากรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.12 และตามคำให้การของจำเลยเอกสารหมาย จ.13 ว่าท่อนไม้ทั้ง 12 ท่อนที่พันตำรวจโทธงชัยทำการตรวจยึดไว้และถูกเผานี้มีตราต.3284 อันเป็นดวงตราประจำตัวของจำเลยตีประทับที่หน้าตัดของไม้ทุกท่อน และไม้ท่อนดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบว่าเป็นไม้ซึ่งได้ถูกตัดมาโดยถูกต้องตามขั้นตอนและระเบียบกฎหมายหรือไม่ จากพยานหลักฐานที่กล่าวมาเมื่อฟังประกอบเข้าด้วยกันแล้วเชื่อได้ว่า จำเลยได้ร่วมกับนายบุญส่ง นายเทอดทูล นายพรพิศและนายสุรชัยเผาไม้ท่อน 12 ท่อน ดังกล่าว พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยร่วมกับพวกเผาไม้ท่อนทั้ง 12 ท่อน ดังกล่าวนั้น จำเลยกระทำไปด้วยเจตนาเพื่อช่วยตนเองให้พ้นจากความผิดที่ตนอาจได้รับ เพราะไม้ท่อนทั้ง 12 ท่อนนั้น มีดวงตราประจำตัวของจำเลยตีประทับอยู่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 จำเลยคงมีความผิดตามมาตรา 142 เท่านั้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 142 จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์