แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่จำเลยเลือกใช้บริการขนส่งทางอากาศซึ่งมีค่าขนส่งสูงกว่าการขนส่งทางทะเลมากถึงประมาณ 10 เท่า ก็เพราะเหตุจำเป็นต้องการส่งสินค้าให้ถึงโดยด่วน แม้ในใบรับขนทางอากาศจะไม่ได้ระบุวันที่สินค้าต้องถึงปลายทางไว้ก็เห็นได้อยู่ในตัวว่า คู่สัญญามีเจตนาให้ขนส่งสินค้าถึงปลายทางโดยรวดเร็วตามสภาพปกติในการขนส่งทางอากาศโดยเครื่องบิน ซึ่งต้องใช้เวลาน้อยกว่าการขนส่งทางทะเลมากพอสมควร แต่การขนส่งสินค้าตามใบรับขนทางอากาศ 2 ฉบับ ตามฟ้อง โจทก์ใช้เวลาในการขนส่งถึงปลายทางช้ากว่าปกติ โดยใช้เวลามากกว่าการขนส่งทางทะเล ย่อมเห็นได้ว่าล่าช้าผิดปกติจากที่ควรจะเป็น
ส่วนปัญหาที่โจทก์ต่อสู้ว่า ความล่าช้าเกิดจากเหตุสุดวิสัยและสภาพแห่งของนั้นเองข้อเท็จจริงนี้โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 616 แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นถึงรายละเอียดเกี่ยวกับพายุว่า เกิดพายุที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีวันเวลาใด มีความรุนแรงเพียงใดและเกิดขึ้นในช่วงกำหนดการบินของเครื่องบินที่จะขนส่งสินค้าอย่างไร มีเหตุให้ต้องเลื่อนกำหนดการบินออกไปเป็นวันเวลาใด ทั้งมิได้นำสืบว่าสินค้าของจำเลยมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถขนส่งโดยเครื่องบินของสายการบินทั่วไปอย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าความล่าช้าเกิดจากมีพายุและข้อจำกัดเที่ยวบินของเครื่องบินเฉพาะสำหรับขนส่งสินค้าที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี อันเป็นเหตุสุดวิสัยหรือสภาพแห่งของนั้นเอง
จำเลยเป็นหนี้ที่ต้องชำระแก่โจทก์เป็นต้นเงิน 4,125,573.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนโจทก์เป็นหนี้ค่าเสียหายจากการขนส่งที่ต้องชำระแก่จำเลย 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จำเลยจะขอหักกลบลบหนี้มาด้วยก็ตาม แต่หนี้ที่จำเลยจะได้รับชำระจากโจทก์ดังกล่าวจะมีผลเป็นหนี้ที่มีจำนวนแน่นอน และข้อต่อสู้แห่งสิทธิเรียกร้องเป็นอันยุติสิ้นไปนับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกานี้ จึงย่อมหักกลบลบหนี้กันได้ในวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกานี้ อันถือเป็นวันเวลาใช้เงินในการคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินสำหรับหนี้ที่จำเลยจะได้รับชำระจากโจทก์ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าขนส่งพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวมเป็นหนี้จำนวน 4,200,172.92 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 4,125,573.92 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายจำนวน 37,726,050.80 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันที่โจทก์ฟ้อง (วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,792,768.05 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2548 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยในส่วนของฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่าโจทก์รับขนส่งท่อนอะลูมิเนียมไปนอกราชอาณาจักรทางอากาศให้แก่จำเลยหลายครั้ง จำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามใบแจ้งหนี้ 15 ฉบับ รวมเป็นเงิน 4,125,573.92 บาท ตามคำฟ้องของโจทก์จริง และในการขนหลายเที่ยวนี้มีการขนส่ง 2 ครั้ง ตามใบรับขนทางอากาศเลขที่ บีเคเค 02-321809 และเลขที่ บีเคเค 02-321980 รวมอยู่ด้วย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญารับขนตามใบรับขนทางอากาศเลขที่ บีเคเค 02-321809 และเลขที่ บีเคเค 02-321980 หรือไม่ เห็นว่า ในพฤติการณ์ที่จำเลยเลือกใช้บริการขนส่งทางอากาศของโจทก์ซึ่งมีค่าขนส่งสูงกว่าการขนส่งทางทะเลมากถึงประมาณ 10 เท่า ก็เพราะเหตุจำเป็นต้องการส่งสินค้าให้ถึงโดยด่วน แม้ในใบรับขนทางอากาศจะไม่ได้ระบุวันที่สินค้าต้องถึงปลายทางไว้ก็เห็นได้อยู่ในตัวว่า คู่สัญญามีเจตนาให้ขนส่งสินค้าถึงปลายทางโดยรวดเร็วตามสภาพปกติในการขนส่งทางอากาศโดยเครื่องบิน ซึ่งต้องใช้เวลาน้อยกว่าการขนส่งทางทะเลมากพอสมควร แต่การขนส่งสินค้าตามใบรับขนของทางอากาศ 2 ฉบับ ดังกล่าวโจทก์ใช้เวลาในการขนส่งถึงปลายทางช้ากว่าปกติ โดยใช้เวลามากกว่าการขนส่งทางทะเลย่อมเห็นได้ว่าล่าช้าผิดปกติจากที่ควรจะเป็น ส่วนปัญหาตามที่โจทก์ต่อสู้ว่า ความล่าช้าเกิดจากเหตุสุดวิสัยและสภาพแห่งของนั้นเอง นั้น ข้อเท็จจริงนี้โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นถึงรายละเอียดเกี่ยวกับพายุว่า เกิดพายุที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีวันเวลาใด มีความรุ่นแรงเพียงใดและเกิดขึ้นในช่วงกำหนดการบินของเครื่องบินที่จะขนส่งสินค้าอย่างไร มีเหตุให้ต้องเลื่อนกำหนดการบินออกไปเป็นวันเวลาใดทั้งมิได้นำสืบพยานหลักฐานว่าสินค้าของจำเลยมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถขนส่งโดยเครื่องบินของสายการบินทั่วไปอย่างไร ดังนั้นจึงฟังไม่ได้ว่าความล่าช้าเกิดจากมีพายุและข้อจำกัดเที่ยวบินของเครื่องบินเฉพาะสำหรับขนส่งสินค้าที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี อันเป็นเหตุสุดวิสัยหรือสภาพแห่งของนั้นเอง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญารับขนตามใบรับขนของทางอากาศ 2 ฉบับ ดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการส่งของล่าช้าและสินค้าเสียหายมีเพียงใด เห็นได้ว่า ลูกค้าของจำเลยยังสามารถที่จะซ่อมสินค้าที่ชำรุดเสียหายได้ไม่ถึงกับเสียหายโดยสิ้นเชิงจนจำเป็นต้องจัดหาสินค้าใหม่ ทั้งสินค้าที่ชำรุดเสียหายก็มีเพียงร้อยละ 30 ซึ่งคิดตามสัดส่วนแล้วเป็นราคาสินค้าเพียง 4,131.30 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น นอกจากนี้จำเลยก็ไม่นำสืบพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเสียค่าซ่อมเท่าใด จึงฟังได้เพียงว่าสินค้าเสียหายจริง แต่ค่าเสียหายไม่มากถึงตามจำนวนที่จำเลยเรียกร้องมาตามฟ้องแย้ง และเมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์ต่างๆ ดังกล่าวแล้วเห็นควรกำหนดค่าความเสียหายในส่วนนี้ให้เป็นเงิน 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการขนส่งชักช้าและสินค้าบุบสลายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นให้แก่จำเลยถึง 55,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2,226,550 บาท นั้น สูงเกินไป อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น และอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนฟ้องแย้งฟังไม่ขึ้น
สรุปแล้ว จำเลยเป็นหนี้ที่ติดชำระแก่โจทก์เป็นต้นเงินจำนวน 4,125,573.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนโจทก์เป็นหนี้ค่าเสียหายจากการขนส่งที่ต้องชำระแก่จำเลยจำนวน 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จำเลยจะขอหักกลบลบหนี้มาด้วยก็ตาม แต่หนี้ที่จำเลยจะได้รับชำระจากโจทก์ดังกล่าวจะมีผลเป็นหนี้ที่มีจำนวนแน่นอน และข้อต่อสู้แห่งสิทธิเรียกร้องเป็นอันยุติสิ้นไปนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกานี้ จึงย่อมหักกลบลบหนี้กันได้ในวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกานี้ อันถือเป็นวันเวลาใช้เงินในการคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินสำหรับหนี้ที่จำเลยจะได้รับชำระจากโจทก์ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ในจำนวนที่เป็นผลลัพธ์จากการนำเงินจำนวน 4,125,573.92 บาท ที่คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2548 จนถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ แล้วหักกลบชำระด้วยเงินจำนวน 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ที่คิดเป็นเงินบาทในอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท ตามอัตราขายเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาทถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นวันเวลาใช้เงิน ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าวให้ถืออัตราแลกเปลี่ยนที่มีในวันสุดท้ายก่อนวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ ทั้งนี้หากมีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยถึงอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิย์ (อัตราอ้างอิง) ก็ให้ถืออัตราตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเป็นอัตราในการคิดคำนวณเป็นเงินบาท โดยในการหักกลบชำระหนี้ให้ชำระดอกเบี้ยก่อน หากยังเหลือเงินจึงหักชำระต้นเงิน เหลือต้นเงินเท่าใดให้เป็นต้นเงินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาฉบับนี้จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น แต่หากการหักกลบชำระหนี้ชำระได้เพียงดอกเบี้ยไม่พอชำระต้นเงินก็ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นต้นเงิน 4,125,573.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่เหลือหลังหักชำระหนี้แล้ว กับดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 4,125,573.92 บาท นับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นค่าฤชาธรรมเนียมในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลดังกล่าว และค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ