แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้จับกุมเห็นสายลับขับรถจักรยานยนต์ไปจอดที่หน้าร้านขายแตงโมของจำเลยแล้วสายลับเข้าไปพูดกับจำเลย จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของสายลับไปทางบ้านของจำเลย อีก 10 นาทีต่อมา สายลับขับรถจักรยานยนต์กลับมาส่งจำเลยที่ร้านขายแตงโม แล้วสายลับนำเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ดมามอบให้ผู้จับกุมโดยบอกว่า จำเลยพอสายลับไปบ้านจำเลยพบ ส. จำเลยนำเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ดจาก ส. ส่งให้สายลับ สายลับส่งธนบัตรให้ ส. คำเบิกความของผู้จับกุมไม่ได้ความว่าได้ยินการพูดจาระหว่างสายลับกับจำเลยทั้งไม่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะที่สายลับอ้างจำเลยเอาเมทแอมเฟตามีนจาก ส. ส่งมอบให้สายลับ แล้วสายลับส่งธนบัตรให้ ส. โดยโจทก์ไม่ได้นำสายลับผู้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงในฐานะประจักษ์พยานต่อศาล ลำพังคำเบิกความของผู้จับกุมที่ฟังมาจากสายลับจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า ฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่สายลับขับออกจากร้านขายแตงโมของจำเลยไปนานประมาณ 10 นาที สายลับก็ขับรถจักรยานยนต์มาส่งจำเลยลงที่หน้าร้านขายแตงโมของจำเลยเท่านั้น โดยในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา ทั้งการตรวจค้นบ้านจำเลยก็ไม่พบเมทแอมเฟตามีนแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือ ส. ให้กระทำผิดมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายดังฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 6
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 6 จำคุก 5 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกอิทธิฤทธิ์ ช่วยชูชิตและจ่าสิบตำรวจสุวัฒน์ ดาราธร เบิกความเป็นพยานโจทก์ได้ความว่า ขณะที่พยานโจทก์ทั้งสองกับพวกซุ่มดูเหตุการณ์อยู่นั้น เห็นสายลับขับรถจักรยานยนต์ไปจอดที่หน้าร้านขายแตงโมของจำเลย แล้วสายลับเข้าไปพูดกับจำเลยสักครู่หนึ่งจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของสายลับขับมุ่งหน้าไปทางบ้านของจำเลยอีกประมาณ 10 นาที ต่อมาสายลับขับรถจักรยานยนต์กลับมาโดยมีจำเลยนั่งซ้อนท้าย เมื่อส่งจำเลยลงที่หน้าร้านขายแตงโมของจำเลยแล้ว สายลับได้นำเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด มามอบให้ร้อยตำรวจเอกอิทธิฤทธิ์ โดยบอกว่าติดต่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยแล้ว จำเลยบอกว่าไม่มีอยู่ที่ร้านขายแตงโมและพาสายลับไปที่บ้านจำเลย พบนายสุรชิต อู่อรุณ จำเลยนำเมทแอมเฟตามีน3 เม็ด จากนายสุรชิตส่งให้สายลับ สายลับส่งธนบัตรที่เตรียมมาใช้ล่อซื้อตามเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่นายสุรชิต พยานโจทก์ทั้งสองกับพวก จึงเข้าตรวจค้นตัวจำเลยและบริเวณร้านขายแตงโมของจำเลย แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย และนำจำเลยไปที่บ้านตรวจค้นนายสุรชิตพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน ตามเอกสารหมาย จ.1 อยู่ในกระเป๋ากางเกงที่นายสุรชิตสวมอยู่ เห็นว่า ตามคำเบิกความของพยานโจทก์สองปากดังกล่าวไม่ได้ความว่าได้ยินการพูดจากันระหว่างสายลับกับจำเลยที่อ้างว่าจำเลยพูดว่าเมทแอมเฟตามีนไม่มีอยู่ที่ร้านขายแตงโมและจะพาสายลับไปซื้อเมทแอมเฟตามีนในบ้าน ทั้งพยานโจทก์ทั้งสองก็ไม่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะที่สายลับอ้างว่าจำเลยเอาเมทแอมเฟตามีนจากนายสุรชิตส่งมอบให้สายลับแล้วสายลับส่งมอบธนบัตรตามเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่นายสุรชิตแต่อย่างใดโดยโจทก์ไม่ได้นำสายลับผู้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงในฐานะประจักษ์พยานต่อศาล ลำพังคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าว ซึ่งรับทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวมาจากสายลับ โดยมิได้รู้เห็นหรือรับฟังมาด้วยตนเอง จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำการดังที่พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความจริง คงรับฟังได้แต่เพียงว่า พยานโจทก์ทั้งสองเห็นจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไป และประมาณ 10 นาทีต่อมา สายลับก็ขับรถจักรยานยนต์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายมาส่งจำเลยลงที่ร้านขายแตงโมเท่านั้น แม้โจทก์จะมีบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสุรชิตตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.8 ที่ให้การว่า จำเลยเป็นผู้นำเมทแอมเฟตามีนมาให้นายสุรชิตขาย โดยนายสุรชิตจะได้ค่าจ้างจากจำเลยเม็ดละ 20 บาท และตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้พาสายลับไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายสุรชิตที่บ้านจำเลย จนนายสุรชิตถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยก็ตาม ซึ่งคำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของนายสุรชิตดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ปกติมีน้ำหนักน้อยและจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เมื่อปรากฏว่าในชั้นพิจารณานายสุรชิตเบิกความว่า จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการขายเมทแอมเฟตามีนของนายสุรชิตเลย เช่นนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 และจ.8 ดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่สายลับขับออกจากร้านขายแตงโมของจำเลยไปนานประมาณ 10 นาที สายลับก็ขับรถจักรยานยนต์มาส่งจำเลยลงที่หน้าร้านขายแตงโมของจำเลยเท่านั้น โดยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การปฏิเสธตลอดมา ทั้งการตรวจค้นที่บ้านของจำเลยก็ไม่พบเมทแอมเฟตามีนแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังว่าการกระทำของจำเลยตามที่ได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวเป็นการสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือนายสุรชิตให้กระทำผิดมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายดังฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยนำพาสายลับไปพบนายสุรชิตที่บ้านของจำเลย และสายลับนำยาเสพติดให้โทษมามอบให้ร้อยตำรวจเอกอิทธิฤทธิ์ประกอบกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย จำเลยรับว่าเป็นผู้จัดหายาเสพติดให้โทษมาให้นายสุรชิตขายตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.9 จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองปากดังวินิจฉัยมาแล้วรู้เห็นเพียงว่าจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของสายลับไปเท่านั้น ส่วนที่สายลับมาบอกแก่พยานโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยพาไปซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่บ้านจำเลย แล้วพยานโจทก์นำความดังกล่าวมาเบิกความต่อศาลจึงเป็นเพียงคำบอกเล่า ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยพาสายลับไปบ้านจำเลยแล้วซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากนายสุรชิตดังฎีกาของโจทก์ได้ ส่วนบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.9 ที่จำเลยรับว่าเป็นผู้จัดหายาเสพติดให้โทษมาให้นายสุรชิตขายนั้นปรากฏว่าชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตลอดจนชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธและเบิกความว่าจำเลยอ่านหนังสือไม่ออกและเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังทั้งยังมีสาเหตุกับเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมอีกด้วย พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน