คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 497/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ใช้ให้ พ. ไปร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินและเบิกความเท็จต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่ง จนศาลชั้นต้นเชื่อและมีคำสั่งให้ พ. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์ทั้งสามในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยย่อมได้รับผลกระทบกระเทือนเสื่อมเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำผิดของจำเลยโดยตรง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)และมีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2) โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยเป็นผู้จ้างวานใช้ให้ พ. ไปยื่นคำร้องและเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ประกอบด้วยมาตรา 177 มิได้ฟ้องจำเลยว่าเป็นผู้เบิกความเท็จ จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 เมื่อฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานะเป็นผู้ใช้พอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดี ฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84,177, 180
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 84 ให้ประทับฟ้อง ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 413/2532 ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 วรรคแรก, 84 ให้จำคุก 4 ปี ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 413/2532 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 413/2532 ของศาลชั้นต้นนอกจากนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 16806 และโจทก์ที่ 3 กับจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 16807 จำเลยเป็นผู้ใช้ให้นายพิมพ์ไปร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงและเบิกความเท็จต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งว่า จำเลยได้ขายที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่นายพิมพ์และนายพิมพ์ได้ครอบครองมาเป็นเวลา 20 ปีแล้วจนศาลชั้นต้นเชื่อตามคำร้องและคำเบิกความเท็จของนายพิมพ์และมีคำสั่งให้นายพิมพ์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลง กรณีเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ทั้งสามในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยย่อมได้รับผลกระทบกระเทือนเสื่อมเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินไปจึงเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยโดยตรง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และมีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2)
สำหรับปัญหาที่ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หรือไม่นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยในข้อหาว่าจำเลยเป็นผู้จ้างวานใช้ให้นายพิมพ์ไปยื่นคำร้องและเบิกความเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 มิได้ฟ้องจำเลยว่าเป็นผู้เบิกความเท็จ จึงไม่จำเป็นจะต้องบรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ด้วย และเห็นว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานะเป็นผู้ใช้พอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
พิพากษายืน

Share