คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 303/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต มีข้อความว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่กำหนดโดยธนาคารโจทก์ไม่ได้ระบุจำกัดว่าให้ใช้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในวันที่มีการผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น จึงหมายถึงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่มีได้หลายอัตราตลอดช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระหนี้ สัญญาดังกล่าวโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงมีเจตนาให้คิดดอกเบี้ยปรับเปลี่ยนลอยตัวได้ และเงินค่าดอกเบี้ยส่วนที่สูงกว่าที่กำหนดไว้เดิมนั้นโจทก์คิดจากจำเลยที่ 1 ได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ซึ่งหากสูงเกินส่วน ศาลก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม มาตรา 383 และมีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน โดยย่อมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงิน ดอกเบี้ย ค่าอากร ค่าเทเล็กซ์ และอื่นๆ จำนวน 15,186,528.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี จากต้นเงิน 9,766,590.01 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 15,121,682.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี จากต้นเงิน 9,766,590.01 บาทนับถัดจากวันฟ้อง (31 กรกฎาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดรวม 18 ฉบับ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอให้บังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงใด จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทั้ง 9 ฉบับ มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ และตามคำฟ้องโจทก์ก็มิได้บรรยายให้ชัดเจนว่า คำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทนั้น จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเท่าใดเพียงแต่ระบุว่า จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยทั่วไป ทั้งในสัญญาก็มิได้กำหนดให้โจทก์มีสิทธิปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยได้ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเท่านั้น เห็นว่า ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต 9 ฉบับ มีข้อความทำนองเดียวกันในข้อ 7 ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่กำหนดโดยธนาคารโจทก์ นับจากวันที่สินค้ามาถึงกรุงเทพมหานครถึงวันที่ชำระเงินตามจำนวนดังกล่าวนั้น ไม่ได้ระบุจำกัดว่าให้ใช้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในวันที่มีการผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น จึงหมายถึงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่มีได้หลายอัตราตลอดช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระหนี้ได้ ประกอบกับในช่วงปี 2537 และ 2538 ที่มีการทำสัญญากันนี้ก็ปรากฏว่าโจทก์ประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่สัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตแต่ละฉบับที่ทำสัญญาในช่วงเวลาต่าง ๆ กันก็คิดดอกเบี้ยในอัตราแตกต่างกัน จึงเห็นได้ว่าสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเจตนาให้คิดดอกเบี้ยปรับเปลี่ยนลอยตัวได้ และเงินค่าดอกเบี้ยส่วนที่สูงกว่าที่กำหนดไว้เดิมนั้นโจทก์คิดจากจำเลยที่ 1 ได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา จึงเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 383 เห็นว่า ดอกเบี้ยผิดนัดอัตราต่างๆ อันเป็นเบี้ยปรับที่โจทก์เรียกร้องมาในคำฟ้องเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป เห็นสมควรกำหนดเบี้ยปรับให้จำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์โดยกำหนดให้เป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกจากลูกค้าทั่วไปตามประกาศ เรื่อง กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดของโจทก์บวก 0.25 โดยปรับเปลี่ยนขึ้นลงแปรผันตามอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกจากลูกค้าทั่วไปตามประกาศของโจทก์ดังกล่าวที่ประกาศไว้แล้ว และที่จะประกาศต่อไปหลังวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดและไม่เกินร้อยละ 19.75 ต่อปี ตามคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์ และให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมด้วย ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงินรวม 5,355,092.24 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน…ในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้าทั่วไปตามประกาศเรื่องกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดของโจทก์บวก 0.25 โดยปรับเปลี่ยนขึ้นหรือลงแปรผันตามอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกค้าทั่วไปตามประกาศของโจทก์ดังกล่าวที่ประกาศไว้แล้วก่อนฟ้อง และที่จะประกาศให้มีผลบังคับต่อไปหลังวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น แต่ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดและไม่เกินร้อยละ 19.75 ต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ จำนวน 5,000 บาท แทนโจทก์.

Share