แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยทั้งห้าจะขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ก็ต้องนำสืบให้ได้ความตามคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ คดีจึงมีประเด็นตามที่โจทก์ตั้งสภาพแห่งข้อหามาในคำฟ้องว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของนางเป๋าหรือไม่ ที่จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมิใช่ทรัพย์มรดกของนางเป๋า จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับโจทก์และจำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินจำนวน ๓ แปลง คนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่อาจแบ่งปันได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งคนละส่วนเท่ากัน ให้จำเลยทั้งห้าไปลงชื่อร่วมกับโจทก์ในทะเบียนที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว หากจำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า
จำเลยทั้งห้าขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของนางเป๋าตกได้แก่โจทก์และจำเลยทั้งห้าคนละส่วนเท่ากัน โจทก์ฟ้องโดยอาศัยข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยทั้งห้าไม่ยอมแบ่งทรัพย์พิพาทให้โจทก์ แต่โจทก์กลับขอให้ศาลบังคับให้โจทก์และจำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าของร่วมกัน และการขอให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดนั้น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ดำเนินการได้ตามกฎหมายโดยมิต้องอาศัยคำพิพากษาของศาล กับที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งห้าไปลงชื่อร่วมกันในทะเบียนที่ดินทั้งสามแปลงนั้น จำเลยทั้งห้าไม่มีหน้าที่โดยนิติกรรมที่จะต้องกระทำการดังกล่าว คำขอของโจทก์เช่นนี้ศาลบังคับให้ไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งห้า คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้จำเลยทั้งห้า ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยทั้งห้าจะขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ก็ต้องนำสืบให้ได้ความตามคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๐๕ เดิม หรือ ๑๙๘ ทวิ (ใหม่) คดีจึงมีประเด็นตามที่โจทก์ตั้งสภาพแห่งข้อหามาในคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของนางเป๋าหรือไม่ ดังนี้ ที่จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมิใช่ทรัพย์มรดกของนางเป๋า โดยที่ดินแปลงแรกเป็นของจำเลยที่ ๒ ส่วนที่ดินแปลงที่ ๒ และแปลงที่ ๓ เป็นของจำเลยทั้งห้านั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ไม่รับวินิจฉัย จึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยทั้งห้าฟังขึ้น และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียว โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ วินิจฉัยใหม่
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของนางเป๋าตกได้แก่โจทก์และจำเลยทั้งห้าคนละส่วนเท่ากันดังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.