คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3024/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งตามพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 หมายความว่าเป็นการให้กู้ยืมเงินใน ระยะสั้นเป็นทางค้าปกติคือให้กู้ยืมเงินมีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ไม่เกินหนึ่ง ปีนับแต่วันให้กู้ยืม จะมีหลักทรัพย์เป็นประกันโดยการจำนอง จำนำ หรือค้ำประกันด้วยบุคคลหรือไม่มีหลักประกันดังกล่าวเลยก็ได้ ส่วนกิจการเครดิตฟองซิเอร์นั้นหมายความว่า กิจการให้กู้ยืมเงินโดยวิธีรับจำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าปกติ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นการให้กู้ยืมเงินระยะสั้นแต่จำกัดว่าต้องมีหลักทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์มาจำนองเป็นประกันเงินกู้เท่านั้น จะเอาอสังหาริมทรัพย์มาจำนำหรือเอาบุคคลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้นั้นไม่ได้ การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมและจำเลยที่ 1 ยังนำที่ดินมาจำนองเป็นประกันเงินกู้อีกด้วยจึง เป็นการประกอบธุรกิจเงินทุนที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้ว ไม่ตกเป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการจัดหาเงินทุนและให้กู้ยืมเงินฯ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินมีโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ จำเลยที่ ๒ ได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ ไว้ต่อโจทก์โดยรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ครบกำหนดอายุสัญญาแล้วจำเลยยังไม่ชำระหนี้ โจทก์บอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ไถ่ถอนจำนองกับได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้แล้วจำเลยก็ไม่ชำระขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการกู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นวิธีการดำเนินธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ซึ่งโจทก์มิได้กระทำการให้เป็นไปตามกฎหมายที่ได้ควบคุมไว้ แต่เป็นการกระทำนอกเหนือวัตถุประสงค์ของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจเงินทุน โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบกิจการตามข้อ ๔ (๗) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ประเภทต่อไปนี้ (๑) กิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ (๒) กิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนา (๓) กิจการเงินทุนเพื่อการจำหน่ายและการบริโภค (๔) กิจการเงินทุนเพื่อการเคหะ โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ กู้เงินจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันหนี้โดยยอมรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ ๑ ยังได้นำที่ดินจำนวน ๒ โฉนดมาจำนองประกันหนี้ แล้ววินิจฉัยว่า การกระกอบธุรกิจเงินทุนที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังตามข้อ (๑) คือกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ หมายความว่า กิจการจัดหาเงินทุนจากประชาชน และให้กู้ยืมเงินระยะสั้น เป็นทางค้าปกติ ส่วนกิจการเครดิตฟองซิเอร์หมายความว่า กิจการให้กู้ยืมเงินโดยวิธีรับจำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นการค้าปกติเห็นว่ากิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ตามบทกฎหมายดังกล่าวเป็นการให้กู้ยืมเงินในระยะสั้น คือให้กู้ยืมเงินมีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันให้กู้ยืม จะมีหลักทรัพย์เป็นประกันโดยการจำนองจำนำหรือค้ำประกันด้วยบุคคลหรือไม่มีหลักประกันดังกล่าวเลยก็ได้ แต่กิจการเครดิตฟองซิเอร์นั้น ไม่จำกัดว่าต้องเป็นการให้กู้ยืมเงินระยะสั้น แต่จำกัดว่าต้องมีหลักทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์มาจำนองเป็นประกันเงินกู้เท่านั้นจะเอาสังหาริมทรัพย์มาจำนำหรือเอาบุคคลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้นั้นไม่ได้ ดังนั้นการที่โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมและจำเลยที่ ๑ ยังนำที่ดินมาจำนองเป็นประกันเงินกู้จึงเป็นการประกอบธุรกิจเงินทุนที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้ว ไม่ตกเป็นโมฆะ
พิพากษายืน

Share